กี๋ ปากอ่าว

หน้า: (หน้าก่อน)  1 ...  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32 ...61   (ต่อไป)
โดย กี๋ ปากอ่าว - Thursday, 9 March 2006, 11:12AM
 

น้องปลานีโม ณ.ปัตตานี เจ้า..ขา ล้อรถขอคุงพ่อ นำพากลิ่นแปลกจากแดนไกล หลายร้อยไมล์ กลับมาให้น้องปลาได้ฝันถึงที่มาของกลิ่น หลายตลบเชียวนะคะ

ส่วนพฤติกรรม "กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้" ต้องยกให้คุณเต๋าเต้ย  ที่ถูกปล่อยไว้ในป่าปูน ที่เชียงใหม่หลายอาทิตย์แล้ว...( ตามท้องเรื่อง )

เจ้านี่กลิ้งทุกอย่าง นอกจากจะกลิ้งชโลมกลิ่น ยังกลิ้งกระจายกลิ่น ชอบปล่อยกลิ่นกายตัวเอง ลงบนของเล่น กระดูกเทียม กระดูกแท้ ฯลฯ ประกาศก้องว่า อันนี้ของผม อันโน้นนน ก็ของผ้ม ไม่เชื่อดมดูก็ได้!! กลิ่นผมฟุ้งเลยครับ...งกกกก..ม้ากๆฮ้า

พ่อหนุ่มข้าวตังของแม่โอ๊ต..ครับ แม่กี๋ชอบหลายๆ จะได้มีลูกชายหมาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งโต๋ว!! พิศดูรูปพ่อตังแล้ว แม่กี๋ขอเวลาอีกเทอมหนึ่งนะ แม่กี๋จะไปฝึกศิลปะป้องกันตัว..คอร์ส ขอมดำดิน?  ช่วงปรับตัวกับพ่อตัง แม่กี๋ต้องหาทางหนีทีไล่ ละเอียดละออหน่อยล่ะ

พี่พายุก็ไม่เบา จ้องเอ้า..จ้องเอา แม่กี๋มองสบตาที่ไร หนาวสะท้านทู้กที

แม้นพี่พายุและน้องน้ำมนต์ จะไม่ได้ออกไป ประมวลภาพเรื่องราวนอกบ้าน แต่แม่กี๋แอบสังเกตบ้านของอาโกว มีบริเวณกว้างขวาง มีสนามหญ้า ต้นไม้ใหญ่สวยๆ ดูร่มรื่นเย็นสบาย ให้บางแก้วคู่ขวัญได้วิ่งเล่น อย่างเพลิดเพลินใจ

แม่กี๋ว่าลำดับภาพในจินตนาการของพี่พายุและน้องน้ำมนต์ จะบรรเจิดสวยงาม มีแต่กลิ่นไอบรรยากาศ..ธรรมชาติรอบๆตัว....ดีจังค้า



โดย กี๋ ปากอ่าว - Wednesday, 8 March 2006, 09:19PM
 

กำลังนั่งจ้องเลยค่ะ..


โดย กี๋ ปากอ่าว - Wednesday, 8 March 2006, 09:16PM
 

แม่กี๋ชวนคุย...เรื่องเล่า?..เรื่องลูก?...!!!

การกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง เรียกความสมบูรณ์แข็งแรง ทางร่างกายและจิตใจของหัวโต ให้พลิกฟื้นคืนมาอย่างรวดเร็ว หัวโตกลับมาเป็นหมาสุขภาพดี ตัวโต ขนฟู หางเป็นพวงสวยงาม ท่าทางทะมัดทะแมง วิ่งตามแม่กี๋ไปเที่ยว รอบๆ บริเวณแฟลต และตลาดสดข้างบ้าน

ปัญหาของหัวโตที่แม่กี๋เพิ่งสังเกตเห็นอีกเรื่องก็คือ หัวโตกลัวเสียงรถมอเตอร์ไซด์ และเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะรถปิคอัพ เสียงรถที่วิ่งมาตามถนนหน้าแฟลต เล่นเอาหัวโตถึงกับหางตก ย่อตัวลงและวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน หาที่หลบภัยทุกครั้ง เสียงท่อไอเสียจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ ทำให้หัวโตตกใจตื่น วิ่งตรงไปที่ทิศทางของเสียง และเห่าไม่ยอมหยุด จนกว่าเจ้าเสียงนั้นจะเงียบหายไป

แม่กี๋ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้ ได้แต่เก็บความสงสัยว่า ในอดีตหัวโตอาจเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้าย กับเจ้ารถติดเครื่องยนต์ ชนิดใดชนิดหนึ่งมาก่อน  หัวโตมักหลีกเลี่ยงการข้ามถนน แต่ถ้าจำเป็น จะวิ่งข้ามอย่างหวาดกลัว ขอเพียงให้ข้ามผ่านไปได้ ไม่เคยมองซ้ายมองขวา แต่พอได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาใกล้ ก็ยิ่งกลัวรนรานจนขาก้าวไม่ออก พอได้สติก็วิ่งงกๆเงิ่นๆ ไม่รู้ทิศรู้ทาง

เฉพาะฉะนั้น เวลาข้ามถนน แม่กี๋จะจับโซ่ให้สั้นตึง ให้หัวโตยืนใกล้ๆ รอจนกว่า รถบนถนน ทิ้งช่วงห่างให้มากที่สุด และพาเดินข้ามถนนไปพร้อมๆกัน ตอนแรกไม่ได้เฉลียวใจเรื่องภูมิหลัง แม่กี๋พาเดินไปหยุดรอกลางถนน พอรถแล่นผ่านด้านหน้าและด้านหลังระยะเผาขน หัวโตดึงโซ่จนปลอกคอหลุด วิ่งหนีกระเจิง เกิดการชุลมุนบนท้องถนน เกือบเกิดเรื่องสยองขวัญ ทั้งแม่และลูก บทเรียนเรื่องนี้..เตือนใจให้แม่กี๋ระวังเรื่องความรู้สึกของลูก ก่อนทำสิ่งใดๆ  เนื่องจากความเข้าใจของหมามีขีดจำกัด

 การออกไปเที่ยวนอกบ้านไกลๆ นอกจากแม่กี๋จะห่วงเรื่องการข้ามถนนแล้ว ยังห่วงเรื่องการวิวาทกับหมาเจ้าถิ่นรายทาง ดังนั้นทุกครั้งที่เดินออกจากบ้าน แม่กี๋จะระวังตัวไม่ให้หัวโตเห็น  หรือไม่ก็ทำตัวเป็นพิ้งค์แพนเตอร์ หลบเข้ามุมมืด ซ้ายที ขวาที  จนสามารถอำพรางตัวไปกับฝูงชน

ใครๆก็รู้ว่า หมาก็มีหัวใจ อยากกินของอร่อย อยากนอนในที่สบาย อยากออกไปเที่ยวในที่ต่างๆ และไม่ต้องการถูกทอดทิ้ง ให้จำเจอยู่ในบ้าน ในห้องสี่เหลี่ยม ในกรง หรือในรั้วบ้าน ตลอดทั้งวันทั้งคืน

หัวโตจึงมักแสดงอาการอยากไปเที่ยว ด้วยการนั่งโวยวายอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ขอให้แม่กี๋ช่วยเปิดประตูให้  ไม่ได้ขอกันพร่ำเพรื่อทั้งวัน แต่จะขอเฉพาะเวลาที่อยากออกจริงๆเท่านั้น เมื่อได้ออกไปสมใจ เพียงไม่นานหัวโตจะกลับมานอนรอหน้ารั้ว หรือนั่งส่งเสียงร้อง พร้อมกับกวักไม้กวักมือ เรียกให้ออกไปเปิดประตูรับ

หลายครั้งที่เผลอเปิดประตูรถทิ้งไว้ หัวโตจะปีนขึ้นไปนั่งหน้าจิ้มลิ้ม รออยู่ในรถ ต้องใช้คำว่าปีนเพราะพุงที่ใหญ่ขึ้น ทำให้อุ้ยอ้าย กระโดดขึ้นไม่ไหว  แม่กี๋เลยต้องพานั่งรถออกไปเที่ยวบ้าง เช่น ไปร้านข้าวต้มที่มีที่นั่งด้านนอก เลือกโต๊ะริมสุด ล่ามหัวโตไว้ใกล้ๆ หัวโตได้นั่งรถเที่ยว นอนมองหน้าพ่อกับแม่ทานข้าว  แค่นี้หัวโตก็สุขใจเหลือเกินแล้ว

ครั้งหนึ่งแม่กี๋เคยพาหัวโตไปใส่บาตรตอนเช้ามืด ซึ่งเราต้องเดินไกลกว่าทุกวัน ห่างจากบ้านหลายช่วงตึก หัวโตเดินตามติด แทบจะจิกแม่กี๋ไว้ตลอดเวลา ขณะใส่บาตรหัวโตนอนหมอบอยู่ใต้โต๊ะ หลับรอเงียบๆ แม่กี๋คิดว่าวันนั้นหัวโตได้ร่วมทำบุญใส่บาตรด้วยกัน และผลบุญจะช่วยให้หัวโต พบความสุขสงบในบั้นปลายชีวิต

ตอนเย็น หัวโตยังเคยตามพ่อจ๋า ไปเดินออกกำลังกายที่สวนสุขภาพ หรือ ตามเพื่อนบ้านที่ห้องแถว ไปจ๊อกกิ้งที่สนามหญ้า บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอ ที่ๆมีคนพาหมาไปวิ่งเล่นพักผ่อนกันทุกเย็น ลูกชายเขากลับมาเล่าว่า “จอมโหด วิ่งตามพ่อได้นิดเดียว ก็เหนื่อยนอนแหมะอยู่กับที่ ไม่ยอมขยับเดินไปไหนเลยครับ“    เนื่องจากอายุและน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เหนื่อยง่ายและหายใจหอบแรงๆ ช่วงหลังๆแม่กี๋จึงไม่พาหัวโตวิ่งหรือเดินไปไหนไกลๆอีกเลย 

หัวโตสลัดคราบหมาจรจัดทิ้ง จนสิ้นกลิ่นไอความหลังเก่าๆ หลายคนที่ไม่เคยสังเกตเลยว่า ครั้งหนึ่งมีหมาขี้เรื้อนชื่อ จอมโหด อาศัยอยู่ที่ใต้ถุนแฟลต จะพากันคิดว่าหมาขนฟูสีขาว ตัวอ้วน เป็นหมาหน้าใหม่ ที่แม่กี๋ย้ายตามมาจากกรุงเทพฯ

ชาวแฟลตเปลี่ยนท่าที เป็นยินดีต้อนรับทักทายหัวโตเป็นอย่างดี  ลุงคนขับรถสองแถว น้ามอเตอร์ไซด์รับจ้าง หลานนักเรียนที่เดินย่านนั้น ตระโกนเรียกหัวโตว่า “พี่Big” “จัมโบ้”  “สิงโต” และทิ้งท้ายที่   “โอ๊ย หมาอ้วน”

หัวโตทำเหมือนการทักทายของผู้คน เป็นแค่เพียงเสียงนกเสียงกา ตั้งหน้าตั้งตา วิ่งเหยาะๆโยกย้ายส่ายสะโพก อาจมีบางครั้งที่เหลือบมองสบตาแต่แล้วก็เมินหน้าหนี  เหมือนแสดงให้รู้ว่า อีตาคนนี้ไม่รู้จักกันสักหน่อย!! วิ่งมุ่งหน้ากลับไป หมกมุ่นอยู่กับการดมกลิ่นต่อไป

ตอนแรกที่เริ่มจูงเดินเที่ยว แม่กี๋จะดึงโซ่ ไม่ให้หัวโตดมของเหม็นตามทางเดิน เช่น คางคกแห้งติดพื้น เศษอาหาร ถุงขยะ เศษใบไม้ หรืออุจจาระและปัสสาวะที่หมาอื่นทิ้งไว้ แม่กี๋เห็นว่ามันน่ารังเกียจมาก และเสียเวลาในการเดินเที่ยว

แต่การกระทำของแม่กี๋ กลับเป็นการปิดกั้นสื่อและแหล่งข้อมูลของหมา ร่องรอยหลักฐาน ที่ทิ้งไว้เหล่านั้น มันเป็นเบาะแสสำคัญ ที่จะบอกให้หัวโตรู้ว่า ใครเพิ่งเดินผ่านบริเวณนี้ เดินผ่านนานเท่าไหร่แล้ว เจ้าตัวนั้นเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย สุขภาพดีหรือเปล่า อายุเท่าไรและอยู่ในฤดูผสมพันธุ์หรือไม่

การดมกลิ่น จึงเปรียบเสมือนการได้รับรู้เรื่องราวต่างๆในโลกของหมา ประสาทสัมผัสสุดพิเศษ ที่ธรรมชาติมอบให้ เพื่อใช้แปลสัญญาณการสัมผัสกลิ่น ซึ่งประสิทธิภาพนั้นกว้างกว่าและซับซ้อนกว่าคนถึง 37เท่า น่าทึ่งจริงๆ

ดังนั้น กลิ่นต่างๆที่ติดตัว แม่กี๋และพ่อจ๋า ล้อรถ เสาไฟฟ้า รั้วบ้าน ถังขยะ กระถางต้นไม้ ต้นไม้ริมทาง แม้นกระทั่งบนพื้นดิน พื้นทราย ทุกสิ่งได้บรรจุภาพและเรื่องราวไว้มากมาย อย่างที่แม่กี๋คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ข้อมูลเหล่านั้น กำลังย้อนภาพของที่มาของกลิ่น ให้หัวโตลำดับเหตุการณ์แบบหมาๆ เรื่องสำคัญๆอย่างเช่น  ตัวไหน? ที่ล่วงล้ำเขตแดน  แอบเดินมาปัสสาวะทับรอยเดิม ที่หัวโตได้ยึดครองบริเวณ ไว้เป็นเขตแดนในสังกัด 

แต่ละวัน ข้อมูลมันอาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ยกตัวอย่างเช่น วันนี้จากการดมกลิ่น หัวโตอาจพบว่า..ของเจ้าสุดหล่อ...สองจุดตรงถังขยะและล้อรถยนต์คันที่สอง  ของเจ้าบูธ...หนึ่งจุดที่เสาไฟฟ้าต้นแรกหลังบ้าน อุจจาระสามก้อนของไข่ตุ๋นยังอุ่นๆอยู่ริมรั้ว  ยังอีกหลายจุดที่เป็นกลิ่นใหม่ ที่ไม่เคยรู้จัก ที่มาของกลิ่นมาก่อน วันต่อมา ณ. ที่เก่าเวลาเดิม อาจมีเรื่องใหม่ๆ รอให้หัวโตกลับมาพิสูจน์กลิ่น ได้ลำดับเรื่องราวของหมาและคนรอบๆข้าง อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

หัวโตต้องวิ่งสาละวน กับการกลบลบกลิ่นทุกจุดทุกที่ในทันที เพื่อประกาศศักดา รักษาเขตแดนเดิมเอาไว้ จนกลายเป็นภารกิจประจำวัน  ที่ขาดไม่ได้

และนั่นเองคือ ความในใจของสุนัขตัวผู้ทั้งหลาย ที่อยากออกไปโลดแล่นนอกบ้าน พฤติกรรม  ดมๆ..แล้วฉี่ๆ จึงเป็นภาพที่เห็นจนชินตา อยู่เป็นประจำทุกวัน  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฉะนั้น เมื่อมีโอกาสได้ออกจากบ้าน หัวโตจะรีบตรงดิ่ง ไปทุกที่ทีเคยไป หรือ ถ้าเห็นหมาแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนหน้าบ้าน ยิ่งยั่วยุให้เร่งรีบ ออกจากบ้าน เพื่อตรงไปเช็คจุดต่างๆในสังกัด

 ดังนั้น พ่อครับแม่ขา!! อย่าขุ่นใจ และ โปรดเห็นใจ ให้อภัย ในความโอ้เอ้ของลูกๆ  ที่เที่ยวดมกลิ่นสะเปะสะปะไปทั่ว อาจขัดขืน ดึงโซ่ ไม่ยอมเดินต่อแต่โดยดี ก็เพราะลูกต้องการเวลาสักนิด ในการดมกลิ่น  วิเคราะห์ที่มา จินตนาการ ตามประสาหมา.. หาข่าว อัพเดทข้อมูล หากพ่อแม่เข้าใจ ลูกจะมีความสุขตามธรรมชาติของหมา ไม่ต้องเสียท่า ให้หมาต่างถิ่นมา เหยียบจมูก  ปล่อยกลิ่น ยึดครองเขตแดน ซึ่งถือเป็น...การเสียหน้าหมาเป็นอย่างยิ่ง

การระแวดระวังภัย ยังต้องมีทุกย่างก้าวเช่นเคย และ ตลาดสดก็เป็นอีกแห่งหนึ่ง ที่เจ้าของเขตคุมเข้ม... แม่หมีหมาแก่  เจ๊ใหญ่คุมตลาด ขนยาวสีดำปลอดตลอดทั้งตัว ขาสั้น ร่างยักษ์ หน้าตาขึงขัง  เธอประกาศห้ามเด็ดขาด ไม่ให้หัวโตเข้าไปยุ่งในถิ่นของเธอ

เจ้าของแม่หมี คือ อาเฮียเจ้าของร้านโชห่วยในตลาด  ที่ไม่ใช่ร้านเซเว่น   แต่เฮียแก

อยากเปิดบริการลูกค้า ตลอด 24 ชั่วโมง แม่หมีจึงมีหน้าที่เฝ้าร้าน รักษาความปลอดภัย อยู่เคียงข้างอาเฮีย เธอก็มีอำนาจสิทธิขาดในเขตตลาด เพราะว่าแม่กี๋ไม่เคยเห็นหมาตัวไหน กล้าเดินเกะกะตามทางเดินในตลาดเลย นอกจากแม่หมี....เจ้าแม่ตลาดสด แต่เพียงผู้เดียว

 แม่หมีไม่นิยมความรุนแรง เธอปกป้องเขตแดน โดยการตระโกนด่าหน้าตลาด  เห็นเช้าด่าเช้า เห็นดึกด่าดึก หัวโตไม่ตอบโต้ เพียงแค่ยกขาหลังปล่อยกลิ่น แก้เขินสองสามครั้ง แล้วเดินหนีเสียงแหลมเล็ก ที่นอกจากจะเสียดแทงใจ และระคายหูแล้ว  มันยังทรงพลัง สามารถเรียกลูกฝูงอีกหลายตัว ที่นอนเรียงราย กระจายกำลังอยู่นอกตลาด ให้วิ่งกรูเข้ามาร่วมวงขับไล่

การพบปะหมานอกบ้าน ไม่ได้หมายถึงการต่อสู้หรือทะเลาะเบาะแว้งเสมอไป ถึงแม้นหัวโต จะไม่เคยชวนหมาอื่นเล่น หรือเล่นเมื่อถูกเชื้อเชิญ แต่ก็ไม่เคยพุ่งเข้าทำร้ายหมาอื่นไม่เลือกหน้า

การที่หัวโตเข้าสังคมไม่เก่ง อาจเป็นเพราะผลพวงมาจากการถูกตัดออกจากสังคมเสียนาน จึงไม่รู้จักการปรับท่าทีของตัวเอง ให้เป็นที่ยอมรับของคนและหมาตัวอื่น ...

“น้ำตาล” ลูกของนังแดงรุ่นสุดท้าย ที่หลงเหลืออยู่เพียงตัวเดียว น้ำตาลต้องใช้ชีวิตจรจัดอาภัพเหมือนแม่ เพราะตอนเล็กๆขี้ระแวงมาก กลัวคน วิ่งตามติดอยู่กับแม่ตลอดเวลา จึงไม่มีใครสามารถจับตัวไปเลี้ยงได้ น้ำตาลวิ่งหนีและหลบซ่อนตัวจนโตและกลายเป็นหมาที่ไม่มีใครต้องการอีกต่อไป

เมื่อพบกับหัวโต น้ำตาลจะยืนให้หัวโตดมสำรวจ และเอาตัวรอด ในท่านอนหงาย โชว์ท้องที่แสดงความอ่อนแอและยอมแพ้ในทุกกรณี น้ำตาลจึงอยู่นอกสายตาของหัวโต แม้นจะอยู่ในฝูงเดียวกันกับเจ้าสุดหล่อก็ตาม

ส่วนเจ้าไข่ตุ๋น ลาบราดอร์ หมาหัวใจเด็ก ตัวโข่ง รู้ว่าหัวโตเขม่นเหม็นหน้า เนื่องจากคดีเก่าที่ชอบมาอ้อน ขอขนมแม่กี๋ที่รั้วหน้าบ้าน

ไข่ตุ๋นจะแสดงความอ่อนน้อม ใช้กลยุทธ์เอาอกเอาใจแบบหวาดๆ ย่อตัวลงต่ำและสะบัดหางที่ลู่ลงไปมาช้าๆ มองหน้าหัวโตแบบระมัดระวัง และอยู่ในท่าเตรียมพร้อมวิ่งหนี หากถูกหัวโตจู่โจม

แต่หมานักเลงย่อมไม่รังแกหมาที่ไม่มีทางสู้  หัวโตเพียงแต่เดินไปรอบๆ ส่งเสียงขู่ในลำคอ  แค่นี้ไข่ตุ๋นก็ปัสสาวะเล็ดออกมาเล็กน้อย

พฤติกรรมเช่นนี้ อาจพูดได้ว่า กลัวจนฉี่ราด แต่ที่จริง มันจะเกิดขึ้นกับหมาที่มีนิสัยอ่อนน้อม เวลาทักทายหมาที่อยู่ในอันดับสูงกว่า ในฝูงหรือสมาชิกในครอบครัว ซึ่งจากการศึกษาพฤติกรรมของสุนัขในตำราฝรั่ง การปัสสาวะเล็ด เป็นการส่งสัญญาณเหม็นๆ เพื่อบอกให้รู้ว่า ตัวเองไม่มีอันตรายใดๆ

การผูกมิตรกับหัวโต  สำหรับแขกคนผู้มาเยือน ยังคงยากลำบากใจ จนแม่กี๋เกือบจะถูกตัดขาดออกจากสังคมชุมชน เพราะการข่าวแพร่กระจายออกไปว่า บ้านแม่กี๋เลี้ยงหมาบางแก้วพันธุ์ดุ

ยกเว้นแต่คนที่พอจะเข้าใจธรรมชาติของบางแก้ว  จะเห็นพร้องต้องกันว่า การหวงบ้านและหวงเจ้าของ เป็นแบบฉบับของหมาบางแก้วทั่วไป ไม่ได้เกิดจากความดุร้ายแต่อย่างใด ตรงกันข้าม หัวใจห้องที่ห้าของหัวโต พร้อมที่จะยินดี เปิดต้อนรับมิตรผู้มีน้ำใจและให้ความเมตตาอย่างจริงใจ



โดย กี๋ ปากอ่าว - Wednesday, 8 March 2006, 08:19PM
 

..ได้อ่านอาการของสาโทแล้ว น่าเห็นใจคนเฝ้าไข้จริงๆนะคะ จะรักษา จะตรวจก็แสนยาก หมาป่วย..ยังป่วน ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ..

แต่ก็ยังมั่นใจว่า การเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องมีสาเหตุแน่นอนค่ะ ขอให้พยายามค้นหา ตรวจพบในเร็ววัน จะได้รักษาอย่างตรงจุด ....เฮ..บูม.ลา..สู้ๆ..นะจ้ะสาโท!!


โดย กี๋ ปากอ่าว - Tuesday, 7 March 2006, 01:56PM
 

แม่โอ๊ต ครา... ฮับ แม่กี๋กะเต๋าเต้ยไปช้อนลูกน้ำมาแล้วน้า แต่ช้อนไปช้อนมา มันดันได้เจ้าตัวนี้มาจ้า...น้องปลานีโม สนมั๊ย!!!



หน้า: (หน้าก่อน)  1 ...  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32 ...61   (ต่อไป)