กี๋ ปากอ่าว

หน้า: (หน้าก่อน)  1 ...  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26 ...61   (ต่อไป)
โดย กี๋ ปากอ่าว - Friday, 31 March 2006, 09:24AM
 

สวัสดีค่ะ คุณเพื่อนบางแก้ว หมาบางแก้วข้างบ้านอายุย่างเข้าเดือนที่หก ยังดูตัวจิ๋ว หน้ายังเป็นหมาเด็กอยู่เลยนะคะ เจ้าของเลี้ยงแบบปล่อยกับบางแก้วตัวผู้วัยเดียวกันและหนุ่มใหญ่เชพพอด เห็นหนุ่มใหญ่เชพพอดเริ่มเกาะเอวสาวน้อยบางแก้วบ่อยๆ แต่ยังไม่เคยเห็นมีน้ำแดง สาวน้อยมีกลิ่นเชิญชวน เริ่มเป็นสัดแล้วเหรอคะ


โดย กี๋ ปากอ่าว - Thursday, 30 March 2006, 03:20PM
 

สวนสาธารณะที่เป็นเสมือนปอดของคนในหมู่บ้าน มีการปลูกหญ้าไว้เพื่อความสวยงามและเป็นที่เล่นของเด็กๆ การปล่อยให้หมาเข้าไป อึและฉี่รดหญ้า นอกจากจะทำให้หญ้าบริเวณนั้นตายแล้ว ยังแพร่เชื้อโรคสู่เด็กๆที่วิ่งเล่นและลงไปนอนล้มลุกคลุกคลานบนพื้นหญ้าอีกด้วย ดังนั้นสวนสาธารณะจึงเป็นเขตปลอดสุนัข ทำให้หมาหมดทางเลือก ไม่มีตัวช่วย ไม่ได้รับสิทธิ์นั้น.... สิทธิที่จะเข้าไป....... “ติดดิน กินหญ้า” ที่เป็นความต้องการตามธรรมชาติของหมาทั่วไป

 กฎกติกามารยาทของการเลี้ยงหมาในเมืองใหญ่ ทำให้เกิดข้อพิพาทกันถึงขั้นเจ้าของหมาโดน “เป่า” เพราะหมาดันไป”ปล่อย” ของเหม็น หน้าประตูบ้านเพื่อนบ้านทุกวัน กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ใช่เรื่องขี้หมา!!!

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะปล่อยให้หมาคิดเองงูๆปลาๆ...หรือว่า คนควรจะช่วยกัน ลงมาคิดแทนหมา อย่างน้อยๆก็เพื่อรักษามิตรภาพอันดี ที่ควรมีต่อคนบ้านใกล้เรือนเคียง ที่ต้องเห็นหน้ากันทุกเช้าเย็น

แม่กี๋ต้องเชิญคู่หูคู่ฮา น้านักการและหัวโตมาตกลงเงื่อนไข เวลาการเข้าออกนอกบ้านเสียใหม่ เวลาที่ปิดโอกาสไม่ให้หัวโตเข้าไปละเมิดสิทธิบ้านผู้อื่น เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เคารพสิทธิของผู้อื่นและดำรงไว้ซึ่ง จรรยาบรรณ....ของเจ้าของหมาที่ดี

หัวโตมีวิธีการออกคำสั่งด้วยสายตาและการส่งเสียงให้รู้ว่า หัวโตกำลังต้องการให้แม่กี๋ทำอะไร?  ถ้าหากแม่กี๋เห็นหัวโตนั่งมองหน้านิ่ง แม่กี๋จะถามว่า”ทำไม จะเอาอะไร หิวหรือเปล่า” อีตาหมาเฒ่าสมองใส จะทำตาเป็นประกาย พร้อมกับมองไปที่ประตูรั้ว ขยับขาย่ำพื้น แสดงว่ากำลังวิงวอนให้เปิดประตู “ผมอยากออกไปอึนอกบ้านเต็มทน” แต่ถ้าหัวโตแลบลิ้น เลียปาก น้ำลายหก แปลว่า “ผมอยากกินมั่กๆๆ”

หากหัวโตต้องการให้ออกไปหา เพื่อแจ้งความประสงค์ จะทำปากสั้นปากยาว ส่งเสียงร้อง....ดัง “แง้งๆๆๆๆ” พร้อมกับยกขาหน้าขึ้นๆลงๆสลับกันไปมา กริยาอาการแบบนี้หมายความว่า”มาหาผมเร็วๆเข้า...เร็ว เร้ว ผมอยากๆๆๆๆ ทำโน้น ทำนี่ ทำนั่น ออกมาดูผมหน่อยเร็วๆ!!!”

พฤติกรรม “การยกขา” ของหมา เป็นที่ภูมิใจของเจ้าของ ที่มักนำไปเมาส์กระจายว่า หมาสามารถ ไหว้ สวัสดี ทักทายตอบ หรือ เชกแฮนด์กับคนได้

นอกจากนั้น หมาบางตัวยังใช้การยกขา สะกิดสะเกา เพื่อขออาหารจากคน หมาตัวไหนมีพฤติกรรม”การยกขา”ติดตัวไว้ ไม่ต้องกลัวอดตาย ใครพบเห็นก็ใจอ่อน ยอมยื่นขนมให้ทุกที

ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่ง ได้เขียนอธิบายไว้ในหนังสือสัตว์เลี้ยงยอดนิยฉบับหนึ่งว่า การที่หมายกขาหน้าขึ้น เป็นการแสดงเมื่อหมาต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  และมีความเชื่อว่า พฤติกรรมนี้เกิดจากสัญชาตญาณตามธรรมชาติของหมาตั้งแต่แรกเกิด

ลูกหมาเวลาดูดนมจากเต้าของแม่ จะใช้เท้าหน้าทั้งสองข้าง ดันนมแม่หมาเป็นจังหวะ เพื่อกระตุ้นให้น้ำนมไหล เมื่อเติบโตขึ้นพฤติกรรมนี้จึงติดมาใช้แสดงกับคน  การที่หมามักยกขาหน้าให้คนจนติดเป็นนิสัย เพราะมันคือพฤติกรรมทีทำให้หมาเคยได้มาในสิ่งที่มันต้องการ

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาพฤติกรรมของสุนัข โดยนักวิเคราะห์พฤติกรรมสัตว์ ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหมา สังเกตหมาในทุกท่วงท่าอารมณ์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการยกขาไว้ว่า

 “หมาเกิดการเรียนรู้ว่า เมื่อยกขาให้กับคนที่ถือขนม ลูกชิ้นปิ้ง หมูย่างฯลฯ หมามักจะได้กินของอร่อยเสมอ และการที่หมายกอุ้งเท้าหน้าขึ้น หน้าตั้งตรง เนื่องจากประสาทสัมผัสของหมากำลังจดจ่ออยู่กับอาหารที่คนกำลังยื่นให้กิน “

“การยกขา อาจมีวัตถุประสงค์แตกต่างออกไป มันคือการขอคารวะความยิ่งใหญ่ของใครบางคน ผู้ที่หมารู้สึกว่าตัวเอง กำลังตกอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า เพื่อแสดงความอ่อนน้อม ไม่ใช่ยื่นออกมาเพื่อให้คนจับ อย่างเช่น หมาบางตัวที่ถูกจ้องเป็นเวลานานๆ จนทำให้หมารู้สึกกังวลใจ หมามักก้มหัวลงและยกขาหน้าขึ้น การที่ก้มหัวลงก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ฟันที่เป็นอาวุธประจำกาย ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะจู่โจมได้และจะไม่ทำอันตรายใดๆต่อผู้ที่อยู่ตรงหน้า”

 ด้วยเหตุนี้ “การยกขา” จึงเป็นอีกลูกไม้หนึ่ง ที่หัวโตงัดออกมา เพื่อส่งสัญญาณ เมื่อต้องการใช้งานแม่กี๋ และ แสดงความนอบน้อม เมื่อหัวโตต้องการทักทาย หรือ ยามที่แม่กี๋ชวนคุย หัวโตจะยกขาวางบนมือ ทุกครั้งที่แม่กี๋พูดจบประโยคคำถาม หัวโตอาจจะไม่ได้เข้าใจคำถามใดๆ แต่หัวโตก็บอกให้แม่กี๋รู้ว่า หัวโตกำลังฟังในสิ่งที่แม่กี๋กำลังพูดทุกประโยค

และสิ่งที่ทำให้แม่กี๋ประหลาดใจ ในพฤติกรรมแปลกๆของหัวโต ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีแขกคนสำคัญมาเยือนที่บ้านมหาชัย

แม่กี๋ยังจำวันแรกที่คุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมที่มหาชัย ก่อนหน้านี้แม่กี๋ได้เคยเล่าเรื่องหัวโตให้ท่านฟัง จนท่านรู้สึกคุ้นเคยกับหัวโตก่อนที่จะได้มาพบกับตัวจริงเสียอีก แต่แม่กี๋ก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้ว่า หัวโตจะเห็นท่านทั้งสองเป็นคนแปลกหน้า เหมือนคนอื่นๆที่แม่กี๋เชิญเข้ามานั่งคุยในบ้านหรือไม่?

 ก่อนมาถึงมหาชัย ท่านแวะห้างบิ๊กซี เพื่อซื้อขนมเค้กเนยของ S& P ไส้กรอกรมควันและไก่ทอด KFC มาเป็นของกำนัลให้หัวโต เป็นการรับขวัญหลานหมาตัวใหม่

พอท่านมาถึงบ้าน แม่กี๋รีบจัดการขังหัวโตไว้ในห้องครัว และพูดกรอกหูหัวโตกำชับหนักแน่นว่า “นี่แม่ของแม่ และนี่พ่อของแม่นะ หัวโตห้ามดุ ห้ามกัดนะลูก”

พอหัวโตได้ยินเสียงคนคุยกันในห้องรับแขก ก็ส่งเสียงโวยวาย ขอเข้ามาร่วมวงกับคนในบ้าน แม่กี๋เปิดประตูให้หัวโตเดินเข้ามาพร้อมกับกำชับกำชาให้หัวโตทำตัวให้ดีๆ

หัวโตโบกหางเบาๆและยื่นหน้าเข้าไปแนบที่ขาของคุณแม่อย่างคุ้นเคย และนั่งแหมะ ประจบน้ำลายยืด ขอกินขนมเค้ก ไส้กรอกและไก่ทอด กินเสียจนอิ่มพุงกาง คุณแม่ยิ้มแก้มแทบปริ ที่สามารถผูกมิตรกับหลานหัวโตได้อย่างง่ายดาย

แต่เมื่อหัวโตเข้าไปใกล้คุณพ่อ ทันทีที่คุณพ่อลูบหัว หัวโตกลับทำเสียงขู่ จนแม่กี๋ร้องห้ามเสียงหลง...ทำไม..เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณพ่อกับหัวโต ?แม่กี๋รู้ดีว่ามันผิดปกติอย่างมาก!! เพราะคุณพ่อคือครูคนแรกที่สอนให้แม่กี๋รักหมา หมาในความทรงจำของแม่กี๋.. รักคุณพ่อทุกตัว

หมาที่เลี้ยงที่บ้านในอดีต มีความผูกพันใกล้ชิดกับคุณพ่อมาก เหล่าหมาจะชอบมานอนห้อมล้อมอยู่ใกล้ๆคุณพ่อเสมอ แม้นวันสุดท้ายของชีวิตหมาตัวหนึ่ง มันยังหอบสังขารมานอนตายข้างๆ ที่ๆคุณพ่อนั่งทำงาน

เมื่อคุณพ่อกลับถึงบ้าน ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน เหล่าหมาจะวิ่งนำหน้ารถของท่านที่แล่นเข้ามาในบ้าน และ เจ้านายผู้ที่ไอ่อ้วน “หมาผู้หายสาบสูญ” ไปนอนเฝ้ารออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมถึงเช้า เมื่อหลายปีก่อนก็คือ...คุณพ่อนั่นเอง

พฤติกรรมต่อต้านคุณพ่อของหัวโตทำให้คุณแม่และแม่กี๋ต่างมองตากัน ราวกับหยั่งรู้ความคิดของกันและกัน ถึงความผิดปกติของหมา ที่เราทั้งสองคนคาดไม่ถึง

การมาเยี่ยมแม่กี๋ที่มหาชัยครั้งนี้ของคุณพ่อ  เป็นการเยี่ยมครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ท่านมากรุงเทพเพื่อรักษาอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย หลังจากวันมาเยือนมหาชัยได้เพียงไม่กี่เดือน ท่านก็ได้จากแม่กี๋ไปอย่างไม่มีวันกลับ

 แม่กี๋เคยอ่านพบเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้หมาวินิจฉัยโรค ของสถาบันแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำการทดลองโดยให้หมาดมกลิ่นลมหายใจของผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ที่ต่อมาจากท่อ โดยที่ผู้ทำการทดลอง เจ้าหน้าที่ และ.....หมา ไม่รู้วัตถุประสงค์ของการทดลอง

ผลของการทดลองคือ หมาสามารถบ่งชี้ได้ว่า ผู้ป่วยคนไหนเป็นมะเร็ง.......ชนิดใดได้แม่นยำถึง 99% และที่แม่กี๋จำได้ไม่เคยลืมว่า หนึ่งในสองอันดับแรกมันก็คือ “มะเร็งในปอด”

เรื่องนี้อาจต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน แต่สำหรับแม่กี๋ เรื่องนี้จะยังคงติดค้างอยู่ในใจของตัวเองไปตลอดชีวิต.....ในความคิดที่ว่าหมาตัวนี้ได้กลิ่นไอของโรคร้ายจริงหรือไม่....?



โดย กี๋ ปากอ่าว - Thursday, 30 March 2006, 08:45AM
 

สวัสดีค่ะแม่โอ๊ต...เช้านี้ปู่ดูดีขึ้นแต่มีขี้ตาสีเหลือง และเกาตาข้างซ้ายจนเป็นแผลใต้ตาเล็กๆมีเลือดซิบๆ ใส่ยาให้แล้วค่ะ

แต่ดีใจที่ปู่ยอมกินโครงไก่ต้มสองชิ้นโต น่าจะไม่เป็นอะไรมาก สายๆจะไปคลินิกใกล้ๆบ้านเอายาหยอดตาเสียหน่อย

อากาศร้อนจัดๆทีไรได้เรื่องทุกที..



โดย กี๋ ปากอ่าว - Wednesday, 29 March 2006, 09:00PM
 

พี่พายู้...แม่กี๋ก๊จะลักปาตั๋วอี่น๊องน้ำ(ก้น)มน ไปเป๋นลูกสาวจาวเจียงใหม่น่าก่าเจ้า


โดย กี๋ ปากอ่าว - Wednesday, 29 March 2006, 07:37PM
 

แฟนจ๋า..ของปู่หัวโตเจ้า

วันนี้ปู่ซึมอีกแล้ว..อาเจียนเป็นนสีเหลืองมากๆ

พอปล่อยออกไปนอกบ้าน กลับมา เห็นมีอาเจียนเป็นหญ้า หญ้ายังมีสีเขียวใหม่ๆกองโต

นอนนิ่งๆเหมือนเดิม..พรุ่งนี้ถ้ามีอ๊วกอีก..ต้องพบแพทย์แน่นอนค่ะ


หน้า: (หน้าก่อน)  1 ...  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26 ...61   (ต่อไป)