.......มีนิยายเกี่ยวกับหมาเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ว่า กษัตริย์วงศ์ปาณฑพพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้ายุธิษเฐียร ทรงมีเดชมีอำนาจมาก แผ่พระเดชปกครองไปทั่งชมพูทวีปเป็นเวลาสามสิบหกปี อยู่มาพระเจ้ายุธิษเฐียรปลงพระชนมายุของพระองค์เอง เห็นว่าจะอยู่ต่อไปอีกไม่นาน จึงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยือนและลาราษฎรทั่วพระราชอาณาจักร มีพระมเหสีและกษัตริย์ผู้เป็นพระอนุชาอีกสี่พระองค์โดยเสด็จด้วย ครั้นแล้วกษัตริย์ทั้งหกพระองค์ก็เสด็จขึ้นภูเขาหิมาลัยแต่โดยลำพัง ตั้งพระทัยว่าจะไปให้ถึงสวรรค์ ข้าราชบริพารทั้งปวงก็ส่งเสด็จเพียงแค่เชิงเขาหิมาลัย แล้วทูลลากลับพระนคร แต่ยังมีสุนัขตัวหนึ่งที่พระเจ้ายุธิษเฐียรทรงเลี้ยงไว้ สุนัขตัวนี้หาได้กลับไม่ แต่เดินตามพระเจ้ายุธิษเฐียรขึ้นภูเขาหิมาลัยไป เนื่องด้วยทางเดินไปสู่สวรรค์นั้นทุรกันดารนัก พระมเหสีและพระอนุชาอีกสี่พระองค์ มิสามารถทนความลำบากและเหน็ดเหนื่อยได้ ก็ล้มลงสิ้นพระชนม์ไปทีละองค์จนหมด คงเหลือแต่พระเจ้ายุธิษเฐียรเสด็จพระราชดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง และมีหมาตามเสด็จตัวหนึ่ง ขณะที่เสด็จพระราชดำเนินอยู่นั้น ปรากฏว่าฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยงใหญ่ และพระอินทร์ผู้มีรัศมีอันสว่างก็ปรากฏต่อพระพักตร์พร้อมด้วยราชรถ แล้วพระอินทร์จึงเชิญเสด็จพระเจ้ายุธิษเฐียรให้ขึ้นรถไปสู่สวรรค์ แต่พระเจ้ายุธิษเฐียรไม่ยอมขึ้นรถพระอินทร์ บอกให้พระอินทร์ไปรับพระมเหสีและพระอนุชามาก่อน พระอินทร์ก็ตอบว่า กษัตริย์เหล่านั้นไปคอยพระองค์อยู่บนสวรรค์แล้ว พระเจ้ายุธิษเฐียรได้ยินพระอินทร์ทูลดังนั้น ก็ทรงกระทำอย่างที่สุภาพบุรุษผู้คบหมาเป็นมิตรจะพึงกระทำคือเปิดประตูรถพระอินทร์แล้วเชิญให้หมาขึ้นรถก่อน พระอินทร์เห็นดังนั้นก็ตกใจ ทูลว่าหมาขึ้นสวรรค์ไม่ได้ เพราะจะทำให้สวรรค์ซวยหมด ขอให้พระองค์ไล่หมากลับเมืองมนุษย์เสียเถิด พระเจ้ายุธิษเฐียรก็ดำรัสตอบอย่างที่ผู้รักหมาจะพึงตอบว่า ถ้ายังนั้นก็ไม่ขึ้นสวรรค์ พระอินทร์ผู้ซึ่งไม่เคยเลี้ยงหมา เพราะเคยเลี้ยงแต่ช้างก็ถามว่า ทำไม พระเจ้ายุธิษเฐียรก็ตอบเป็นคาถาน่าฟังว่า หมานั้น คือผู้ภักดีอย่างยิ่ง เป็นผู้ซื่อสัตย์ในยามทุกข์ เป็นผู้ให้ความมั่นใจในยามสงสัย และเป็นผู้ให้ความรักและมิตรภาพในยามที่เหลือแต่ตัวคนเดียว พระอินทร์ฟังดังนั้นก็งง ๆ ไป แต่ก็ยังยืนกระต่ายขาเดียวว่า หมาขึ้นสวรรค์ไม่ได้เด็ดขาด พระเจ้ายุธิษเฐียรจึงตอบว่า สวรรค์เป็นแดนสุขาวดีสำหรับคนอื่น แต่สำหรับพระองค์นั้น ถ้าเอาหมาไปด้วยไม่ได้ก็คงปราศจากความสุข เพราะจะต้องทรงเป็นห่วงและคิดถึงหมา ครั้นแล้วก็ทรงอบรมจิตใจพระอินทร์ต่อไปอีกยืดยาวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ และเป็นบุรุษอาชาไนย การที่จะละทิ้งผู้ที่รักพระองค์นั้นเป็นบาป พระองค์ไม่เคยละเลยผู้ที่ภักดีในพระองค์หรือเกรงกลัวพระองค์ ไม่เคยละเลยผู้ที่ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ หรือผู้ที่ขอรับพระกรุณา หรือผู้ที่อ่อนแอ หรือหมดอำนาจไม่สามารถป้องกันตนเองได้ พระอินทร์โดนเข้าท่านี้ก็จนใจ บ่นตุบ ๆ ตับ ๆ อยู่พักใหญ่แล้วก็ยอมแพ้ ชัยชนะเป็นของพระเจ้ายุธิษเฐียร ผู้ไม่ยอมขึ้นสวรรค์ถ้าหากหมาตามขึ้นไปด้วยไม่ได้ ด้วยฤทธิ์ของพระอินทร์ หมาก็กลายเป็นเทพบุตร มีรัศมีอันสว่าง พร้อมที่จะขึ้นสวรรค์กับพระเจ้ายุธิษเฐียรได้ พระเจ้ายุธิษเฐียรจึงยอมเสด็จขึ้นรถ เขาว่ากันว่า ดาวหมาที่ขึ้นสว่างในตอนดึกนั้น คือรัศมีอันสว่างของหมาพระเจ้ายุธิษเฐียร (คัดจาก คนรักหมา(ฉบับปรับปรุง) หน้า16-18 ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช เขียน)
นิทานกรีก สุนัขใหญ่บนฟ้าเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ของนายพราน เพราะติดสอยห้อยตามนายพรานโดยตลอด นิทานกรีกโบราณกล่าวว่า เมื่อโปรคริส(Procris) ลูกสาวของเธสปีอุส (Thespius) แต่งงานกับเซฟาลุส (Cephalus) เธอได้รับของขวัญพิเศษสองอย่าง อย่างแรกคือลูกดอก (สมัยนี้คงจะเป็นจรวดนำวิถี) ซึ่งเมื่อขว้างออกไปแล้วจะวิ่งเข้าหาเป้าอย่างแม่นยำ ของขวัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ สุนัขฮาวส์ชื่อเลแล็ปส์(Laelaps) ซึ่งเป็นสุนัขที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อได้กลิ่นสัตว์ที่กำลังตามล่าก็จะตามกลิ่นไป แล้วจับสัตว์นั้นได้ทุกครั้ง โปรคริสจึงรักและหวงแหนของขวัญทั้งสองอย่างนี้มาก แต่เมื่อเซฟาลุสได้หว่านล้อมเธอจนยอมให้ของทั้งสองไปเพื่อล่าสัตว์ ขณะที่สามีออกป่าส่าสัตว์อยู่หลายวัน เธอรู้สึกเหงาและคิดถึงเขามาก ทั้งนี้เพราะโปรคริสรักสามีจนสุดหัวใจ เธอจึงตัดสินใจออกไปหาสามีในป่าโดยมิได้บอกให้สามีรู้ เธออยากให้สามีตื่นเต้นจึงแอบไปอย่างเงียบ ๆ ณ ที่พักสามีในป่า สุนัขเลแล็ปส์รู้ว่ามีผู้ล่วงล้ำเข้ามา ก็ส่งเสียงบอกเซฟาลุส เขาเข้าใจว่าเสียงยอบแยบเหยียบกิ่งไม้แห้งหักเป็นเสียงของสัตว์ป่า จึงรีบขว้างลูกดอกวิเศษออกไปทันที ผลก็คือ โปรคริสอยู่ในความเงียบตลอดกาลเพราะเธอโดนลูกดอกถึงแก่ความตาย นับว่าเสียชีวิตเพราะสิ่งที่ตนรักแท้ ๆ สุนัขเลแล็ปส์เมื่อตายแล้วถูกนำไปขึ้นสวรรค์เป็นสุนัขใหญ่ของนายพรานโอไรออน (Orion) โดยคอยตะครุบกระต่ายป่า (Lepus) ซึ่งอยู่ถัดนายพรานไปทางใต้อยู่ทุก ๆ คืนตลอดปี (คัดจาก การดูดาวขั้นต้น หน้า 97-99 เขียนโดยคุณนิพนธ์ ทรายเพชร นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย) เทพนิยายกรีก กลุ่มดาวสุนัขใหญ่ (Canis Major = the big dog) กลุ่มดาวสุนัขเล็ก (Canis Minor = the small dog) ตามเทพนิยายของกรีกเล่าว่า กลุ่มดาวทั้งสองนี้เป็นสุนัขล่าเนื้อคู่ใจกำลังเดินตามนายพราน โดยเฉพาะสุนัขใหญ่นั้นบางนิยายเล่าว่า แต่เดิมเป็นสุนัขชื่อ เมรา(Mera) ซึ่งติดตามเจ้าของชื่อ ไอคาริอุส (Icarius) ด้วยความภักดีตลอดเวลาแม้ไอคาริอุสจะถูกฆ่าตายแล้ว เมราก็ยังคงเฝ้าศพอยู่จนตัวตาย ด้วยความดีแห่งความกตัญญูรู้คุณนี้ เทพยเจ้าจึงให้ปรากฏเป็นเครื่องเตือนใจอยู่ใกล้กับกลุ่มดาวนายพราน (จาก นิยายดาว หน้า 86 โดยคุณสิงห์โต ปุกหุก) ในกลุ่มดาวสุนัขใหญ่ จะมีดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้า (อันดับความสว่าง-1.45) คือดาวซีรีอัส (Sirius)อยู่ในกลุ่มดาวนี้ พวกคาลเดียเรียกดาวซีรีอัสว่า ดาวสุนัข คนไทยเรียกว่าดาวโจรหรือดาวสุนัขนอน เพราะเมื่อสุนัขหลับโจรก็ขึ้นบ้านได้ การดูดาวซิริอัสนั้นสามารถดูได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม(จวนสว่าง)- เดือนพฤษภาคม ในช่วงหน้าหนาวจะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการดูกลุ่มดาวนี้ จะเห็นขึ้นหัวค่ำของเดือนมกราคมและเดือนธันวาคม กลุ่มดาวสุนัขใหญ่อยู่บนฟ้านานประมาณ 10 ชั่วโมง ดาวซิริอัสดวงสว่างที่สุดจะอยู่บนฟ้านาน 11 ชั่วโมง การติดตามดาวซิริอัสดวงเดียวจะทำได้ง่ายกว่าการติดตามทั้งกลุ่ม เพราะสามารถมองเห็นดาวซิริอัสได้แม้แต่สภาวะที่มีแสงรบกวนมากอย่างเช่นในกรุงเทพ ฯ กลุ่มดาวสุนัขเล็ก (Canis Minor) จะอยู่ทางทิศใต้ของกลุ่มดาวคนคู่ประกอบด้วยดาวฤกษ์ 2 ดวง ดวงที่สว่างที่สุดคือ โปรซิออน อยู่สูงเป็นมุมเงย 75 องศา จากขอบฟ้าทิศใต้ ลองหาแผนที่ดาวสักแผ่นมาลองหมุนดูนะครับ ถ้ารู้จักกลุ่มดาวนายพราน(Orion)แล้ว โยงกันให้ดี ๆ เราจะได้สามเหลี่ยมด้านเท่าระหว่าง ดาวเบทาจุส(กลุ่มดาว Orion) ดาวซิริอัส(กลุ่มดาวสุนัขใหญ่) และดาวโปรซิออน(กลุ่มดาวสุนัขเล็ก) สว่างกลางท้องฟ้า ไม่เคยหนีหายจากกันไป สามเหลี่ยมนี้มีชื่อว่าสามเหลี่ยมหน้าหนาว จะเห็นได้นานที่สุดในฤดูกาลนี้ (สรุปจาก การดูดาวขั้นต้น เขียนโดยคุณนิพนธ์ ทรายเพชร นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย) |