จนกระทั่งรุ่งเช้าแม่กี๋สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินหัวโตและเต๋าเต้ยแข่งกันเห่าเสียงดังหนวกหู จึงรีบลงไปตรวจเช็คความเรียบร้อย ภาพที่เห็นคือเต๋าเต้ยกัดหนังสือพิมพ์กระจายเต็มไปทั่วพื้นห้อง ขุดพื้นที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันจนขาดกระจุยเป็นหย่อมๆ กัดมุมโซฟาขาดวิ่นหลายจุด ละเลงฉี่และอึดทั้งนอกและในถาด หัวโตกำลังยืนตั้งท่าเห่าเอาเป็นเอาตายอยู่ที่มุมสบายของตัวเอง ราวกับอยากจะตระโกนร้องเรียกให้แม่กี๋ลงมาดูผลงานอัปยศของเจ้าตัวแสบที่แม่กี๋นำเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน เต๋าเต้ยทำไมทำแบบนี้ ขุดพื้นห้องทำไม นี่ๆๆๆ กัดเสื่อน้ำมัน กัดโซฟา แล้วนี่กระดาษหนังสือพิมพ์ปูไว้ให้ฉี่ กัดเลอะเทอะเต็มบ้าน เคยฉี่ในถาด แล้วนี่อะไรกัน โอ้ย.. ไม่ต้องเข้ามาอยู่ในบ้านอีกต่อไปแล้ว แม่กี๋ทำเสียงเข้มเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าเต๋าเต้ยจะทำเรื่องวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้ จากตอนแรกที่เต๋าเต้ยยืนตัวสั่นเพราะความดีใจ เมื่อเห็นแม่กี๋เดินลงมาจากชั้นบน เนื่องจากยังไม่รู้ตัวว่าผลงานที่ตัวเองทำไว้ตรงหน้า มันเป็นการทำผิดกฎกติกามารยาทของการอยู่ในบ้าน แต่พอได้ยินน้ำเสียงที่ดุดันของแม่กี๋ เต๋าเต้ยเดินถอยหลังกรูด หลบๆเลี่ยงๆ ทำหน้าเด๋อด๋าแสร้งเป็นหมาไร้เดียงสา หมาไม่ได้ตั้งใจ และมีอาการคล้ายจะลังเล สองจิตสองใจว่าควรเข้ามาหาหรือรักษาระยะให้ห่างจากแม่กี๋ เพราะไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดอะไรขึ้น แม่กี๋ไม่ได้ทำโทษเต๋าเต้ย เพียงแต่ใช้คำพูดพร่ำสอน สลับกับการทำเสียงดุๆ แล้วชี้ไปที่ผลงานชิ้นโบว์แดง แม่กี๋ได้แต่หวังว่าเต๋าเต้ยจะเข้าใจว่าแม่กี๋กำลังพูดถึงเรื่องอะไร การบรรยายบทเรียนของเช้าวันแรกจบลงที่การคาดโทษว่า หากแม่กี๋พบเห็นการกัดสิ่งของในบ้าน ครั้งต่อไปจะต้องมีการลงโทษกันอย่างแน่นอน แต่ในใจลึกๆแม่กี๋นึกตำหนิตัวเองมากกว่า ที่ปล่อยให้เต๋าเต้ยคิดเองในคืนแรกของการเปลี่ยนแปลงสถานที่ๆอยู่ใหม่ เต๋าเต้ยยังไม่คุ้นเคยกับห้องใหม่และ สิ่งของรอบๆตัวที่มีกลิ่นใหม่ๆ ซึ่งมันช่างเย้ายวนใจให้เต๋าเต้ยขุดคุ้ย ค้นหา กัดแทะสำรวจกลิ่น เพื่อหาประสบการณ์ ตามวัยของลูกหมาในช่วงหนึ่งปีแรก แม่กี๋ประเมินบทเรียนที่ได้สั่งสอนเต๋าเต้ยไว้สูงเกินไป แม่กี๋ควรจะรู้ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตาม สำหรับหมามันเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นใหม่ของการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเช่นกัน คืนนั้นเป็นวันแรกและวันสุดท้ายที่เต๋าเต้ยได้เข้ามานอนในบ้าน และพลอยทำให้หัวโตต้องออกไปนอนนอกบ้านอย่างถาวรอีกด้วย มันอาจจะดูแย่มากสำหรับหัวโต แต่แม่กี๋ต้องการเลี้ยงทั้งคู่อย่างเท่าเทียมกันในทุกๆเรื่อง จะไม่มีทางที่หมาตัวหนึ่งได้นอนในบ้าน ในขณะที่อีกตัวหนึ่งต้องถูกให้นอนนอกบ้าน เพราะมันอาจทำให้เกิดความสับสนในใจหมา แม่กี๋ไม่ชอบการเลี้ยงหมาแบบลำเอียง เพราะหมาในความคิดของแม่กี๋มีหัวใจทุกตัว หมารู้สึกเสียใจ น้อยใจและเศร้าใจเมื่อถูกกระทำ และการให้ความรักที่ไม่ทัดเทียมกันทำให้หมาเกิดความอิจฉา จนเป็นบ่อเกิดแห่งความชิงชังระหว่างหมาที่อยู่ร่วมกันในบ้าน มันจึงไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลาเมื่อมีโอกาส โดยเฉพาะหมาบางแก้วที่มีนิสัยเรื่องความขี้อิจฉาริษยา หวงของ หวงเจ้าของ หวงอาณาเขตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งต้องควรระมัดระวังมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการปฎิบัติต่อหมาภายใต้การปกครอง เช่น การแสดงความรัก การให้อาหาร การดุด่า และการทำโทษ ดังนั้นแม้นว่าน้ำหนักความรักจะไม่เท่ากันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความยุติธรรมต้องแสดงออกให้ชัดเจน แม่กี๋เฝ้าถามตัวเองถึง จุดหักเหที่ส่งผลให้เจ้าบางแก้วต่างวัยสองตัวนี้ไม่ต้องมนต์ชะตากัน ทำไมถึงไม่สามารถอยู่รวมกันได้ เหมือนน้ำกับน้ำมันในขวด ที่แม่กี๋จับมาใส่รวมกัน แต่พอพยายามเขย่าเท่าไร มันก็แยกแตกกระจายกันไปคนละทิศละทางอยู่ร่ำไป ทั้งๆที่โดยธรรมชาติแล้ว หมาเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงหรือที่เรียกกันว่า สัตว์สังคม ก่อนที่จะนำเต๋าเต้ยมาเลี้ยง แม่กี๋คิดว่าการมีหมามาอยู่ด้วยอีกตัวหนึ่งจะช่วยให้หัวโตไม่เหงาหรือรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งเมื่อต้องอยู่ตัวเดียวในบ้าน การมีเพื่อนควรจะช่วยให้หัวโตมีความสุขเพราะการมีกันและกันในยามที่แม่กี๋ผู้เป็นจ่าฝูงไม่อยู่บ้าน แม่กี๋นึกถึงคำพูดที่ว่า คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับบ้านได้ หรือ รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย อะไรเทือกนั้น น่าเสียดายที่แม่กี๋ไม่ได้ศึกษานิสัยของหมาบางแก้ว ก่อนที่จะเลี้ยงหมาบางแก้วเพศผู้ไว้ในบ้านพร้อมกันถึงสองตัว เพราะการเลี้ยงหมาบางแก้วพร้อมกันหลายตัวไม่ว่าจะเพศใด เจ้าของจำเป็นต้องเข้าใจนิสัยของหมาบางแก้วให้ดีเสียก่อน โดยเฉพาะบางตัวอาจมีนิสัยก้าวร้าวชอบแสดงพฤติกรรมนักรบแย่งชิงความเป็นจ่าฝูง และนิสัยขี้อิจฉา หวงของ ก่อให้เกิดความปวดหัวแก่เจ้าของ แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุบังเอิญหรือโชคชะตา หมาบางแก้วเพศผู้สองตัวของแม่กี๋มีนิสัยเป็น นักรบ ทั้งคู่ เต๋าเต้ยฉายแววตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนหัวโต ยิ่งแก่ยิ่งเข้ม.....ถึงแม้นหุ่นจะไม่ให้ แต่ใจรัก...การรบ ดังนั้น การเอาเต๋าเต้ยมาเลี้ยงกลายเป็นความหวังดีที่หัวโตไม่ต้องการ หัวโตเป็นพระเอกที่ชอบฉายเดี่ยว ต้องการเท่อยู่ในอาณาเขตของตัวเอง ไม่ต้องการนางเอก ไม่ต้องการผู้ช่วย ไม่ต้องการลูกน้องหรือมีการเพิ่มสมาชิกหมาใหม่ในฝูง หมาบางแก้วแก่ผู้รักสันโดษตัวนี้ชอบที่จะอยู่กับเจ้าของมากกว่าหมาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะนิสัยของหัวโตหรือจะเป็นความเคยชินที่ต้องอยู่ตัวเดียวมาเกือบทั้งชีวิตก็ตาม มันก็ทำให้ความตั้งใจของแม่กี๋ที่จะรวมเจ้าบางแก้วสองตัวให้อยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุขภายในบ้านต้องล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า ช่างน่าแปลกใจที่หัวโตไม่ชอบเต๋าเต้ย ทั้งๆที่เต๋าเต้ยมาอยู่กับหัวโตตั้งแต่ยังเป็นหมาเด็ก ช่วงแรกของการพบกันทั้งสองเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน แต่ถ้าย้อนกลับไปสังเกตพฤติกรรมการเล่นของทั้งคู่ มันแฝงไปด้วยการประเมินความแข็งแรงและความอ่อนแอของกันและกัน หัวโตต้องการอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าสมาชิกที่เข้ามาใหม่ ขณะที่เต๋าเต้ย กำลังต้องการประลองกำลังของตัวเองกับหมาในฝูง กล่าวคือลูกสุนัขเมื่อมีอายุประมาณสองถึงสามเดือน ลูกหมาจะเริ่มแข่งขันเพื่อแย่งของเล่น นอกจากจะสนุกแล้วยังแอบแสดงทักษะความสามารถของตัวเอง ทดสอบกันเองว่าตัวไหนสมควรเป็นผู้นำฝูงหรืออยู่ในลำดับที่สูงกว่า ดังนั้นการประลองกำลังแสดงความเป็นผู้นำจึงเกิดขึ้นตลอดหกเดือนแรกของเต๋าเต้ย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยมีหัวโตเป็นคู่ประลองวัยดึกอยู่เพียงตัวเดียว การประลองเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? เกมเล่นผ้า เป็นเกมที่ทั้งคู่โปรดปราน เต๋าเต้ยเล่นผ้า พี่โตเล่นผ้า แม่กี๋จำได้ว่าชอบโยนเศษผ้าขนหนูให้ทั้งสองงับไว้กันคนละข้าง ดึงชักเย่อกัน เสียงคำรามในคอของเจ้าสองตัวดังเบาๆขณะที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาดึงผ้าชิ้นนั้นมาเป็นของตัวเอง แม่กี๋ไม่อาจรู้ได้เลยว่าทั้งคู่กำลังประลองกำลังและอยู่ในขั้นตอนของการจัดลำดับสถานภาพในฝูง ทั้งสองสนุกกับการเล่นชักเย่อ พยายามดึงเศษผ้าขนหนูให้หลุดออกจากปากของฝ่ายตรงกันข้ามด้วยการกระตุกแรงๆสองสามครั้งเป็นจังหวะ หนึ่ง...สอง...สาม...ๆๆ สี่ๆๆๆ การกัดยึดสิ่งของแล้วฉุดกระชากของนั้นออกมาให้ได้ หมาทำเพราะอยากรู้ว่าตัวเองแข็งแรงกว่าคู่แข่งหรือเปล่า หมาที่ชอบเล่นแบบนี้ มักจะเป็นหมาที่มีนิสัยนักเลง ชอบการแย่งชิง และหมาที่ใจสู้กว่ามักจะชนะแม้จะต้องแข่งขันกับหมาที่มีร่างกายแข็งแรงกว่าก็ตาม แม่กี๋เองยังเคยถูกประลองกำลังทุกครั้งที่อาบน้ำให้หัวโตจนมาถึงเต๋าเต้ย พอเริ่มเช็ดตัว..เกมการเล่นผ้าจะเริ่มขึ้น แม่กี๋จะเล่นด้วยสักพักหนึ่ง ทำเสมือนกับว่ามันเป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนาน แต่แม่กี๋จะยุติการเล่นเกมด้วยคำสั่ง ไม่ แม่กี๋ต้องการเอาชนะเด็กๆบางแก้วด้วย คำสั่ง ไม่ใช่การแย่งชิงด้วยกำลังที่เหนือกว่าเพื่อแสดงความเป็นจ่าฝูง แม่กี๋มีเหตุผลที่ซ่อนเร้น ก็โถๆๆใครจะไปกล้าปะทะกันตรงๆ เกิดแม่กี๋แพ้พ่ายเสียเข็มขัดแชมป์ความเป็นเจ้าแห่งสังเวียน จะเรียกคืนกลับมาก็แสนลำบาก อาจต้องยอมตากหน้า ตกที่นั่งเป็นลูกสมุนเจ้านักเลงบางแก้ว โฮ้งเดียว..หันซ้าย...สองโฮ้ง หันขวา สามโฮ้ง...มิต้องตีลังกาหน้าหลัง...แล้วระหว่างบางแก้วสองวัยเกมเล่นผ้าจบลงที่ตรงไหน? หัวโตเป็นหมาโตที่แข็งแรงกว่าและมีความเป็นจ่าฝูงสูง จากการที่แม่กี๋สังเกตเห็นบรรดาแก๊งเจ้าสุดหล่อและสาวกสาวหลบเข้ามุม ไปกันคนละทิศคนละทางเมื่อเห็นหัวโตวิ่งออกสู่ลานจอดรถหน้าแฟลต อย่างมากเจ้าสุดหล่อก็ส่งเสียงเห่าอยู่บนบันได จะมีก็แต่ เจ้าแซม หมาเชพเพอด บ้านตรงกันข้ามที่หัวโตไม่สามารถสู้แรงปะทะเพราะสังขารที่ร่วงโรยและรูปร่างหมาไทยที่เล็กกว่า แต่ก็ยังพยายามท้าทายแสดงความเป็นศัตรูอย่างเด่นชัด หัวโตรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงของหมาบริเวณลานจอดรถหน้าแฟลตและครอบครองอาณาเขตในรั้วบ้าน การที่เต๋าเต้ยสมาชิกหน้าใหม่ตัวจิ๋วไม่ยอมอ่อนข้อ หากหัวโตต้องการอยู่ในลำดับที่สูงกว่าในฝูง และครองตำแหน่งอันดับสองรองจากแม่กี๋ หัวโตก็ต้องปรามเต๋าเต้ยด้วยการแสดงความก้าวร้าวโดยใช้เสียงขู่คำรามดังๆ จนบางครั้งหัวโตต้องถึงขั้นงับเต๋าเต้ยจนร้องเสียงหลง ส่วนเต๋าเต้ยเจ็บจนลืมตัว อีกทั้งไม่กลัวใคร จะทำท่าหมาสู้ แยกเขี้ยวแสดงอาวุธที่มีอยู่ในปากให้เห็นชัดๆ โดยการยกริมฝีปากด้านหน้าขึ้นสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้จงใจแสดงความแข็งแกร่ง พร้อมกับกระโจนเข้าไปยืนคร่อมใช้เท้าเล็กๆยันที่คอหัวโต แม่กี๋ต้องรีบดุหัวโต เพราะเกรงว่าจะทำน้องเจ็บเข้าจริงๆ หัวโตอย่าทำน้อง เต๋าเต้ยอย่าทำพี่โต แม่กี๋ตะหวาดทั้งคู่ เมื่อเห็นว่าชักเริ่มเล่นกันรุนแรง แม่กี๋พยายามทำหน้าที่ของจ่าฝูง ชี้แนะพฤติกรรมฝูง ไม่อนุญาตให้ทะเลาะวิวาทกันโดยการออกคำสั่งให้หยุดการกระทำ วันนี้แม่กี๋ปกป้องเต๋าเต้ยที่เป็นลูกหมาตัวเล็กที่อ่อนแอกว่า และปรามเต๋าเต้ยเผื่อไว้ในวันข้างหน้าไม่ให้ทำร้ายหัวโต ที่กำลังจะมีอายุมากขึ้น หมดเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ป้องกันตัว ในขณะที่เต๋าเต้ยกำลังเติบโตเป็นหมาโตที่แข็งแรง มีนิสัยห้าวขึ้นทุกวัน หลังจากนั้นดูเหมือนว่าหัวโตจะเล่นกับเต๋าเต้ยน้อยลงทุกวัน เพราะเต๋าเต้ยไม่ได้ลำดับชั้นของตัวเองในฝูงอยู่ต่ำกว่าหัวโตหมาผู้พี่นั่นเอง ด้วยเหตุนี้หัวโตจึงไม่อาจญาติดีเป็นมิตรกับเต๋าเต้ยหมารุ่นน้องผู้ทะเยอทะยาน เรื่องความไม่ลงรอยกันเกิดขึ้นเพราะความไม่ลงตัวกันของการจัดลำดับชั้นในฝูงนั่นเอง
|