แม่กี๋ไม่ได้โกรธเคืองหัวโต จนถึงขั้นจะตัดเป็นตัดตายกัน แต่เมื่อมันเกิดปัญหาของการอยู่ร่วมกัน ก็ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน วิธีหนึ่งในการหาแนวทางแก้ไข คือการทำความเข้าใจ ค้นหา จุดเริ่มต้นของปัญหา เพื่อให้ทุกอย่างลงตัว ที่แม่กี๋และหัวโตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขทั้งสองชีวิต ต้นเหตุแรก คือ ผู้อุปการะ= ตัวของแม่กี๋เอง ที่ขาดการเตรียมความพร้อม ที่จริงควรทำความเข้าใจธรรมชาติของหมาจรจัดให้ดีเสียก่อน ก่อนคิดรับอุปการะหัวโต การเลี้ยงหมาจรจัด ไม่ใช่คิดแต่เพียงอยากช่วยเหลือ แต่ต้องเผื่อใจว่าวันข้างหน้าจะต้องเจอกับเหตุการณ์ใดบ้าง? เพราะหมาจรจัดแต่ละตัวมีประสบการณ์ชีวิตเร่ร่อนหรือการถูกทารุณแตกต่างกัน โซเล่ หมาไทยตัวอ้วนวัยสี่เดือน ถูกเพื่อนบ้านเอาน้ำร้อนสาดไล่ เพียงเพราะเขาไม่พอใจ ที่เจ้าตัวน้อย เข้าไปเดินเล่นใกล้ๆร้านค้า เป็นแผลน้ำร้อนลวกเกือบทั้งตัว เจ้าของปล่อยจนแผลติดเชื้อและเน่าเปื่อย ไม่รักษาตัดปัญหา ที่การเอาไปปล่อย ให้พ้นสายตา จากก่อนนี้ ที่เคยมีเจ้าของคอยดูแล เคยวิ่งเล่นกับเด็กๆอย่างมีความสุข เพียงไม่กี่วัน ชีวิตต้องกลับกลายเป็น หมาข้างถนน หอบสังขารที่บาดเจ็บสาหัส ร่อนเร่หาอาหารและที่ซุกหัวนอน ถ้าโชเล่ยังมีชีวิตอยู่ จะมีพฤติกรรมอย่างไร? ไอ่อ้วน หมาไทยพันธุ์ผสมวัยสามปี เจ้าของรักสุดใจ อยากกินอะไร เจ้าของสรรหามาให้ ฉลาด แสนรู้ สามารถนั่งไหว้ขออาหาร มีนิสัยประจบเก่งเป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าเจ้าของจะไปไหน ไอ่อ้วนเดินตาม วิ่งตามรถ จนคนในตลาดใกล้ๆบ้านรู้จักกันทั่ว ส่งเสียงเรียกทักทาย เมื่อไอ่อ้วนเดินผ่านหน้าร้าน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้าของมีเหตุต้องไปนอนที่โรงแรม ห่างจากบ้าน3-4 ก.ม. ไอ่อ้วนตามไปนอนเฝ้าที่ล็อบบี้ จนถึงเช้าเพื่อรอกลับบ้านพร้อมกัน แต่แล้ววันหนึ่ง ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เช้าวันนั้น ไอ่อ้วนวิ่งตามเจ้าของไปตลาดเช่นเคย แต่ครั้งนี้ ไอ่อ้วนหายตัวไปและไม่กลับบ้านอีกเลย ทิ้งให้เจ้าของทนทุกข์ตามหาอยู่หลายเดือน สอบถามแม่ค้าในตลาด ไปทุกที่ที่เคยไป จนหมดหวัง ไม่มีใครเห็นแม้นแต่เงา และไม่มีใครรู้ว่า ไอ่อ้วนหลงทางพลัดที่ มีคนจับตัวไปเลี้ยงหรือเอาไปกิน หรือ เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางกลับบ้าน ชีวิตต่อแต่นี้ไป ไม่มีนายคนเดิม หรืออาจจะไม่มีนายอีกเลย อาจไม่โหดร้ายเหมือนโดนกระทำทารุณกรรมทางร่างกาย แต่การพรากจากเจ้าของที่รัก ความคิดถึง ความเหงา สภาพแวดล้อมใหม่ๆ จะทำให้เจ้าหมารักนายตัวนี้ มีพฤติกรรมอย่างไร? การรับอุปการะหมาจรจัด จึงต้องพิจารณาหลายๆด้านประกอบการตัดสินใจ บางคนเลือกรับหมาที่ผ่านการปรับพฤติกรรมจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว สามารถลดปัญหา เรื่องดูแลรักษาสุขภาพและพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่ติดตัวมา เมื่อรับมาแล้ว เกิดมีปัญหา อาจขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ อย่างเช่น โรงเรียนฝึกสุนัข หรือ สถานรับเลี้ยงสุนัขบางแห่ง ซึ่งมีผู้ดูแลพฤติกรรมสุนัข ที่สามารถให้คำแนะนำได้ ฉะนั้นการจะตกหลุมรักหมาจรจัด ต้องพร้อมที่จะยอมรับความบกพร่อง..ได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ... ต้นเหตุที่สอง คือ ผู้ได้รับการอุปการะ= หัวโต ที่มีความเคยชินกับสภาพการดำรงชีวิตในอดีต การต่อสู้เพื่อการอยู่รอด ทำให้หัวโตมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางก้าวร้าว ไม่กลัวใคร เพราะที่ผ่านมาหัวโตได้ใช้ชีวิตแบบหมาไร้นาย ไม่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของใคร อยู่นอกกฎระเบียบ การถูกลงโทษโดยคนแปลกหน้า ไม่ได้มีความหมายใดๆ นอกจากการถูกทำร้าย เป็นปมด้านมืดในจิตใจ ที่ส่งผลพอกพูน สู่ความไม่ไว้วางใจในคนและหมารอบข้าง ดังนั้นเมื่อแม่กี๋รับหัวโต..หมาจรจัดมาอุปการะ จึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหา ทุกเรื่องราวที่ติดตัวหัวโตมา ไม่ใช่คิดแต่เพียงการฟื้นฟูสุขภาพทางกาย แต่ต้องสังเกตและทำความเข้าใจบุคลิกภาพที่แท้จริง ที่อาจเป็นได้ทั้งนิสัยของหัวโตเอง หรือ ผลพวงจากการถูกทอดทิ้งและการถูกทารุณกรรม มาเป็นเวลานาน ช่วงแรกที่รับเลี้ยงหัวโต จนเข้ามาเป็นสมาชิกในบ้าน ขอเรียกช่วงนี้ว่า ช่วงเวลาการปรับตัว แม่กี๋และหัวโต ควรต้องก้าวเดินไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะ การจัดลำดับหัวหน้าฝูงในบ้าน ที่แม่กี๋กลับไม่เคยคิดจะทำตั้งแต่แรก ด้วยความสงสาร และไม่แน่ใจว่าหัวโตจะเชื่อฟังคำสั่งหรืออาจจะดุร้าย เนื่องจากไม่ได้เลี้ยงกันมาตั้งแต่เล็กๆ หัวโตมีนิสัยรักสันโดษ ชอบอยู่ตัวเดียว ไม่ชอบสุงสิงกับคนหรือหมาใดๆ ไม่ผูกมิตร ไม่ต้อนรับแขกคนไหนๆทั้งนั้น แม่กี๋เองยังไม่เคยเห็นหัวโตกระดิกหางหรือ แสดงอาการดีใจเป็นล้นพ้น อย่างมากก็แค่เดินเข้ามาหา คลอเคลียให้จับตัวลูบหัว เรื่องแค่นี้หัวโตยังเลือกปฏิบัติเฉพาะแต่แม่กี๋เท่านั้น เป็นนิสัยที่ทำให้หัวโตต้องมีชีวิตที่โดดเดี่ยวและ เงียบเหงา ด้วยความสงสาร แม่กี๋จึงไม่ได้กำหนดกฎระเบียบ ไม่ขัดใจ ให้อภัย ไม่เคยดุหรือลงโทษ จนกลายเป็นโอ๋ และ ขยาดกลัวนิดๆ หัวโตจึงแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวออกมา นั่นแสดงให้เห็นว่าหัวโตยังไม่ได้มอบตำแหน่ง นาย หรือ หัวหน้า ให้แก่คนในบ้านเดียวกันคนนี้ อย่างจริงใจ!! และนี่คือเหตุผลที่ แม่กี๋ต้องรับบทโหด แสดงความเด็ดเดี่ยวและความดุที่เหนือกว่า เพื่อสร้างภาพหัวหน้าฝูง ให้หัวโตเรียนรู้ว่า หัวหน้าฝูงคนนี้จะคอยดูแล คอยหาอาหาร รักษาโรค คุ้มครอง ป้องกันภัย ให้ที่พักพิง และบางครั้งอาจไม่ต้องทำตามคำเรียกร้อง หรือถ้าจำเป็นก็ต้องเด็ดขาดเข้มงวดหรือดุดันกันบ้าง ตลอดจนมีสิทธิในการตัดสินใจว่าจะให้หัวโตทำอะไรและไม่ให้ทำอะไรในบ้าน ต่อสิ่งของและบุคคล การปรับตัวของหัวโต ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ ยังมีเผลอตัวขู่บ้าง ซึ่งก็ต้องตักเตือนกันทุกครั้ง มีการเรียกร้องแบบเอาแต่ใจ เช่น ล่ามโซ่หรือขังในห้องหลังบ้าน เพื่อกันไม่ให้ออกไปหาเรื่องเจ็บตัวจากเจ้าแซม หัวโตต่อต้านด้วยการกรีดเสียงร้องไม่หยุด แต่แม่กี๋ไม่เคยยอมตามใจปล่อยในทันที จะใช้วิธีการเดินไปเตือนและจ้องหน้า หัวโตทำท่าเข้าใจ และหยุดร้องไปพักหนึ่ง เพียงชั่วอึดใจก็บรรเลงเพลงต่อ ดังนั้นจนแล้วจนรอด หัวโตก็ยังเป็นหมาผู้หวงความเป็นอิสระเสรีเหนืออื่นใด ไม่เคยยอมให้ล่ามโซ่หรือกักขังนานๆ และแม่กี๋ก็ยังเป็นหัวหน้าฝูงที่ไม่ยอมอ่อนข้อ ยอมรับข้อเรียกร้องโดยง่าย ปัญหาเรื่องการปรับตัวระหว่างแม่ลูก ควรต้องมีเวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค่อยๆปรับพฤติกรรมทีละเล็กทีละน้อย ค่อยเป็นค่อยไป และต้องไม่ลืมว่า ไม้แก่ดัดยาก แต่มันกลับกลายเป็นปัญหา ที่ต้องรอการแก้ไข เพราะหลังจากที่หัวโตซมซาน กลับมาหาแม่กี๋ครั้งนั้น ได้ไม่นาน ก็มีสมาชิกใหม่เต๋าเต้ย เข้ามาเป็นตัวแปรเพิ่มขึ้น มิหน่ำซ้ำยังต้องยืดเวลาออกไป เมื่อแม่กี๋ต้องเดินทางไปเชียงใหม่กับเต๋าเต้ย อยู่ที่นั้นนานกว่าสองเดือน เพื่อนบ้านรั้วติดกัน แอบสังเกตหัวโต เมื่อแม่กี๋ไปเชียงใหม่ วันแรกๆหัวโตจะวิ่งเข้าวิ่งออก ระหว่างห้องหลังบ้านกับประตูหน้าบ้าน และร้องคราง ไม่ยอมออกไปไหน นอนเฝ้าอยู่ในห้องทั้งวัน พอพ่อจ๋ากลับบ้าน หัวโตจะออกไปต้อนรับหน้าบ้านทุกเย็น และกลับเข้าไปนอนเงียบๆที่เดิม วันที่แม่กี๋กลับมาถึงบ้านมหาชัย หัวโตไม่ได้อยู่ที่บ้านอีกแล้ว พ่อจ๋าบอกว่าเวลาแม่กี๋ไม่อยู่ หัวโตจะหนีไปนอนที่ห้องแถวเหมือนเดิม แม้นจะไม่ได้เข้าไปอยู่ในบ้านเขา แต่หัวโตก็เลือกที่จะนอนหน้าประตูบ้าน วิ่งตามไปส่งเขาที่ทำงาน นอนเฝ้าเขาทั้งวัน พ่อจ๋าต้องเดินไปตามกลับบ้าน เมื่อเห็นหน้าแม่กี๋ หัวโตดีใจมาก เข้ามานัวเนีย นอนเฝ้าหน้าบ้านสักพัก พอเผลอก็วิ่งกลับไปห้องแถวอีก แม่กี๋ได้แต่มองตามอย่างใจหาย การจากไปเชียงใหม่นานครั้งนี้ ทำให้หัวโตมีสภาพภายนอก กลับไปทรุดโทรมตามเดิม เพราะขาดการดูแลความสะอาด และขาดช่วงการรักษาโรคประจำตัวทุกโรค และยังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งโรคคือ โรคเหงา อย่าทิ้งผมไป หมาที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านนั้น มีความต้องการทางสังคมสูงมาก อยากอยู่กับเจ้าของและคนในบ้านมากที่สุด บางตัวไม่สามารถทนกับการอยู่ตามลำพังได้เลย อาจตื่นกลัวพยายามสุดชีวิต เพื่อจะออกไปตามหาเจ้าของ โดยการกัดเคี้ยวขอบประตู หรือขุดใต้ประตู เห่าหรือหอน ทำบ้านยุ่งเหยิง และทำลายข้าวของ บางท่านอาจตั้งข้อสงสัยว่า แล้วที่ผ่านมา ทำไมหัวโตถึงอยู่เองได้ตั้งนมนาน? แม่กี๋ขอวิเคราะห์จากเรื่องราวที่ผ่านมา แต่ก่อนนี้หัวโตถูกสังคมรังเกียจ ไม่มีคนหรือหมาอยากเข้าใกล้ ตรงกันข้าม หัวโตต้องหนีจากสังคม ไปซุกซ่อนตัวในที่ต่างๆ จนเคยชินกับการต้องอยู่ตามลำพัง หัวโตไม่ใช่สัตว์เลี้ยงในบ้าน แถมเป็นเกาเหลากับฝูงหมาเจ้าถิ่น จึงไม่มีฝูงของตัวเอง แต่ชีวิตใหม่ได้ทำให้กลับมามีสังคมอีกครั้ง มีฝูงของตัวเอง ที่ประกอบไปด้วย คนในบ้าน คนที่ห้องแถว และเวลาแม่กี๋ไม่อยู่ หัวโตยังแอบไปมีสังคมหมาๆ เข้าไปทักทาย คล้ายจะเป็นมิตรกับ ไข่ตุ๋น หมาแฟลต กับจัมโบ้ หมาหลังบ้าน สองหมาหนุ่มนิสัยดี ที่หัวโตเคยตั้งแง่ ชอบเห่าไล่ไม่ให้เข้าใกล้รั้วบ้าน เพราะความอิจฉาที่เจ้าสองหนุ่มนั่น แอบมาขอขนมแม่กี๋ที่รั้วหน้าบ้านและรั้วหลังบ้านเป็นประจำทุกวัน โรคเหงาในหมาแก่หัวโต ไม่ได้แสดงออกเหมือนหมาอื่น หัวโตไม่เคยทำลายข้าวของและไม่เคยมีพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจ หากแต่หัวโตหนีจากไปอยู่ที่อื่น การที่แม่กี๋ไม่อยู่บ้านและปล่อยให้อยู่ตามลำพังหลายๆวัน มันเสมือนการถูกตัดออกจากสังคมคนในบ้าน พอมีคนเปิดประตูใจต้อนรับ ทำดีด้วยและให้อาหาร หัวโตจึงติดใจและหนีตามเขาไป ในเวลาไม่นาน ตอนแรกแม่กี๋ทำใจได้ว่า คงเสียหัวโตให้คนอื่นไปแน่ ที่ทำมาถือว่าเป็นการช่วยหมาตกยาก ได้โอกาสมีที่พักพิงใหม่ที่มั่นคงอีกครั้ง แต่พอแม่กี๋กลับมาอยู่บ้าน หัวโตก็กลับมาหาทุกวัน แม่กี๋วางแผนมัดใจอีกหน ด้วยการให้อาหาร ดูแลรักษาโรค จับอาบน้ำ เล่นกับหัวโตและให้เข้ามานอนในบ้านเหมือนเดิม เพียงไม่กี่วันทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติ เรากลับมาเป็นครอบครัวเดียวกัน หัวโตเชื่อฟังคำสั่งมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มรู้สถานภาพของตัวเองดีและไม่กล้าล้ำเส้น นั่นหมายความว่า หัวโต ได้ยอมมอบตำแหน่ง หัวหน้าฝูง ให้แม่กี๋อย่างสมบูรณ์ การเชื่อฟังคำสั่งที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับให้เป็นหัวหน้าฝูง อาจเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าสถานการณ์รอบด้านเปลี่ยนไปจากเดิม ดังนั้นบทบาท คุณแม่จอมโหด จึงยังต้องซ้อมบทต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าฝีมือการแสดงตกกระป๋อง จนเผยความอ่อนแอของตัวเองให้ลูกเห็น เช่น ยอมความ ใจอ่อน อนุโลม สงสาร ละเว้นการดุหรือทำโทษ เมื่อนั้นแม่กี๋จะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งอำนาจเสื่อมโดยไม่รู้ตัว จะเห็นว่า การพิชิตใจลูกด้วย อำนาจ อาจเสื่อมสลายไปได้ในวันหนึ่ง ดังนั้นหากต้องการครองใจลูกอย่างอมตะนิรันดร์กาล แม่กี๋ควรใช้ความรักเป็นกาวใจ สานสายใยความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น แล้วเมื่อถึงวันนั้น การเชื่อฟังคำสั่งเพราะอำนาจ จะเปลี่ยนเป็นการโอนอ่อนผ่อนตามเพราะอำนาจ.....ความรักและความภักดี
|