สวัสดีครับ คุณแพรวา
มีข้อมูลดี ๆ ที่อยากให้คุณแพรวาได้อ่าน และทำความเข้าใจก่อน
โรคข้อสะโพกวิการ (Hip Dysplasia) คืออะไร
ข้อสะโพก อยู่ที่บริเวณขาหลังมีลักษณะกลมอยู่ในเบ้ากระดูกอีกชั้นหนึ่ง ส่วนที่มีลักษณะกลมนี้คือ ส่วนหัว ของกระดูกโคนขา ในขณะที่ เบ้าที่ครอบ นั้นเป็นส่วนของ กระดูกเชิงกราน โดยทั่วไปแล้ว กระดูกกลมนี้จะหมุนได้อย่างเป็นอิสระ ภายในเบ้ากระดูก โดยมีเอ็นเข้ามายึดกับข้อกระดูกเหล่านี้อีกที เพื่อความแข็งแรง บริเวณ ที่กระดูกทั้งสองส่วนมาสัมผัสกันเราเรียกว่า Articular surface ซึ่งจะมีลักษณะที่เรียบและถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเนื้อเยื่อนุ่มๆ ในสุนัข ทั่วไปส่วนต่างๆเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อการเคลื่อนไหวที่ดีและราบเรียบ
โรคข้อสะโพกวิการ(Hip Dysplasia หรือเรียกสั้นๆว่า hip)เป็นผลมาจากความผิดปกติของข้อสะโพกในสุนัขวัยเด็ก ซึ่ง อาจเป็นกับขาข้างเดียวหรือทั้งสองขาก็ได้ โดยส่วนใหญ่แล้วลูกสุนัขเกิดมาจะมีข้อสะโพกที่เป็นปกติ แต่เนื่องจาก พันธุกรรม และจากสาเหตุอื่นๆ ทำให้เนื้อเยื่อที่หุ้มข้อต่อเหล่านี้ผิดปกติไป เมื่อลูกสุนัขเริ่มโตขึ้น ที่ สำคัญที่สุดคือ กระดูกไม่กลับเข้าที่ เมื่อมีการเคลื่อนไหว ทำให้บริเวณ Articular surface ไม่เกิดการสัมผัสกันของกระดูกทั้งสอง ซึ่งเรียก ลักษณะนี้ว่า Subluxation และนี่คือสาเหตุทั้งหมดของโรคนี้
[size=11pt]อาการของโรคข้อสะโพกวิการ[/size]
สุนัข ทุกอายุ เมื่อเป็นโรคนี้ จะสามารถเห็นอาการที่แสดงออกมา ในกรณีที่อาการ รุนแรง ลูกสุนัขที่อายุ 5เดือนจะเริ่มแสดงอาการปวด หรือมีอาการไม่ดี ในขณะออกกำลังกาย หรือหลังจากนั้น และอาการจะยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆจนไม่ สามารถที่จะเดินได้ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่จะยังไม่มีอาการ จนสุนัขอายุ 1ปีขึ้นไปแล้ว
อาการที่พบเห็นได้บ่อยคือ สุนัขเดินหรือวิ่งแบบกระเผลก พยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังจากขาหลัง หรือมีการวิ่งแบบกระโดด(สองขา)คล้ายกระต่าย สุนัขจะค่อยลดกิจกรรมในแต่ ละวันลง โดยจะนอนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อขาลีบ จนถึงต้องการความช่วยเหลือในเวลาจะลุกยืน เจ้าของสุนัขส่วนใหญ่ มักจะคิดว่าเกิดจากการที่สุนัขมีอายุมากขึ้น แต่ถ้าได้มีการรักษาสุนัขจะมีอาการที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
[size=11pt]สุนัขที่มีโอกาสเป็นโรคข้อสะโพก[/size]
โรค นี้สามารถพบได้ทั้งใน สุนัข แมว และคน สำหรับสุนัข จะพบในพันธุ์ใหญ่เป็นส่วนใหญ่ และอาจเกิดขึ้นกับสุนัขขนาดกลาง ส่วน สุนัขพันธุ์เล็กมักจะไม่ค่อยพบ และโดยส่วนใหญ่ยังพบในสุนัขพันธุ์แท้มากกว่าพันธุ์ผสม สุนัขที่พบว่า เป็นโรคนี้กันเยอะได้แก่ เยอรมันเชพเพอด ลาบราดอร์ ร็อตไวเลอร์ เกรดเดน โกลเด้นส์ และเซนต์เบอร์นาด ส่วนสุนัขพันธุ์ เกรย์ฮาว และโบซอยส์ แทบจะไม่เป็นโรคนี้เลย ยังมีสุนัขอีกหลายพันธุ์ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงไว้
[size=11pt]อะไรคือ ปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดโรคนี้[/size]
พันธุกรรมมีส่วนสำคัญกับโรค นี้ ถ้าพ่อแม่พันธุ์เป็นโรคนี้อยู่ ลูกสุนัขจะมีโอกาสสูงมากที่จะเป็น นัก วิจัยบางคนคิดว่า พันธุกรรมมีส่วนแค่ 25% ความจริงในเรื่องนี้ยังค่อนข้างคลุมเคลือ แต่ถ้าไม่มีพาหะของโรคสุนัขก็จะไม่เป็นโรคนี้ เราสามารถลดความเสี่ยง ได้ โดยการพิจารณาการผสมพันธุ์ แต่ยังไรก็ตามไม่สามารถลดได้ 100% เพราะ ลูกสุนัขที่เกิดจากพ่อแม่พันธุ์ที่เป็นโรค จะไม่เป็นโรคนี้ครบทุกตัวในครอก แต่จะมีสุนัขบางตัวจากครอกนี้ เป็นพาหะต่อไปยังการผสมครั้งอื่นๆ
โภชนาการ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ นั่นก็คือ ความอ้วนผิดปกติ เพราะจะทำให้ข้อสะโพกทำงานหนักขึ้น ถือเป็นความเสี่ยงที่สูงมากในการเกิดโรค ยังมีการศึกษาถึง ระดับโปรตีนและแคลเซียม ถึงความสัมพันธ์ต่อโรคข้อสะโพก โดยพบว่า โอกาสในการเกิดโรคจะสูงขึ้น ถ้ามีปริมาณโปรตีน และแคลเซียมที่มาก แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษา เปรียบเทียบระหว่างอาหารสุนัขที่มี โปรตีน ไขมัน และแคลเซียมมากกับอาหารที่มีสารอาหารเหล่านี้อยู่น้อย รวมถึงอาหาร สำหรับลูกสุนัขทั่วไปกับอาหารสำหรับลูกสุนัขพันธุ์ใหญ่เท่านั้น
การ ออกกำลังกาย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยง โดยพบว่าสุนัขที่มีการออกกำลังกายหักโหม มากเกินไปมักจะเป็นโรคนี้ แต่ในทางกลับกันพบว่าสุนัขที่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์จะไม่ค่อยเป็น ดังนั้น การออกกำลังกายให้พอเหมาะ เพื่อให้เกิดกล้ามเนื้อ เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ หรือการว่ายน้ำ เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุด ส่วน การออกกำลังกาย ที่มีผลกระทบกระเทือนต่อกระดูกข้อต่อต่างๆนั้น ควรจะหลีกเลี่ยง เช่น การกระโดด หรือการเล่น frisbee เป็นต้น
[size=11pt]โรคข้อสะโพกสามารถรักษาโดยการผ่าตัดได้ หรือไม่[/size]
ในปัจจุบันมีการผ่าตัดรักษาอยู่หลายวิธีขึ้นอยู่ กับอายุสุนัขและความรุนแรงของโรคดังนี้ 1. Triple Pelvic Osteotomy (TPO) เป็นการรักษาสำหรับสุนัขที่มีอายุน้อยกว่า 10เดือน และข้อต่อยังไม่ถูกทำลายไปมาก 2. Total Hip Replacement วิธีนี้เป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุดซึ่งสุนัขที่จะรักษาได้ต้องมีการพัฒนา ของกระดูกที่สมบูรณ์แล้วและสุนัขต้องมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 20ปอนด์ โดยต้องใช้เวลารักษาและพักฟื้นนานถึง 3เดือน ค่าใช้จ่ายในการรักษาแพงมากแต่ใด้ผลการรักษาที่ดีมาก 3. Femoral Head and Neck Excision เป็นการรักษาสุนัขที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีที่ 2ได้ เพื่อผลที่ดีที่สุดสุนัขไม่ควรมีน้ำหนักเกิน 45ปอนด์ แต่อย่างไรก็ตามสุนัขพันธุ์ใหญ่ก็อาจรักษาด้วยวิธีการนี้ 4. Junenile Pubic Symphysiodesis เป็นวิธีการรักษาใหม่ ใช้รักษาสุนัขที่มีอายุไม่เกิน 20สัปดาห์ 5. Pectineal Myectomy ในปัจจุบันการรักษาด้วยวิธีนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมเพราะมีโอกาสที่สุนัขจะ กลับมาเป็นโรคนี้ใหม่
[size=11pt]โรค ข้อสะโพกสามารถรักษาโดยการใช้ยาได้หรือไม่[/size]
ในช่วงหลายปี มานี้ได้มีการพัฒนาตัวยาสำหรับโรคข้อสะโพกขึ้นมามาก แต่สาเหตุของโรคนี้ เกิดจากพันธุกรรมเป็นหลักไม่มีตัวยาใดป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ การออก กำลังกายที่เหมาะสม การโภชนาการที่ดี อาหารเสริมต่างๆ หรือยาบรรเทาอาการปวด อาจช่วยแค่ยืดเวลาของการเกิดโรคเท่านั้น ความนิยมในการนำยามารักษาเพียง เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดมีราคาสูงมาก เจ้าของจึงมักเลือกวิธีนี้
สัตว์ แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำวิธีต่างๆข้างล่างนี้ควบคู่ไปกับการใช้ยาเพื่อลดอาการ ปวดและไม่เพิ่มความรุนแรงของโรค
1. การควบคุมน้ำหนัก ควรควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่หมอแนะนำ 2. การออกกำลังกาย จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อและจำกัดการเสื่อมของข้อกระดูกได้ดี การเดิน การว่ายน้ำ การจ๊อกกิ้งเป็นวิธีการที่ดี แต่ควรจะขึ้นอยู่กับอาการของสุนัขแต่ละตัว จำไว้ว่าควรออกกำลังกายทุก วัน การออกกำลังกายเพียงอาทิตย์ละหน อาจจะเป็นอันตรายมากกว่าดี ควรปรึกษาหมอสำหรับรูปแบบการออกกำลังกายของสุนัขคุณ 3. ควรจัดเตรียมที่นอนที่ดีและอบอุ่น อากาศเย็นจะทำให้สุนัขมีอาการที่แย่ลง ควรทำให้สุนัขอบอุ่นเช่น สวมเสื้อให้ หรือ ปรับอุณหภูมิในบ้านให้อบอุ่น ควรจัดหาฟูกนอนที่ดีเพื่อลดแรงกดที่มีต่อข้อกระดูกและยังช่วยให้สุนัขลุก ขึ้นได้ง่าย 4. การนวดและการบำบัดทางกายภาพ คุณหมอสามารถสอนการบำบัดและการนวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดให้คุณได้ จำไว้ว่าสุนัขของคุณกำลังปวด ควรเริ่มนวดอย่างช้าๆนิ่มนวลเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสุนัขของคุณ 5. ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักๆในแต่ละวัน เช่น สุนัขพันธุ์ใหญ่ควรหาแท่นวางชามข้าว ชามน้ำให้มีความสูงที่เหมาะสมเพื่อสุนัขไม่ต้องก้มลงไปกิน 6. การให้อาหารเสริมต่างๆ ปรึกษาคุณหมอถึงอาหารเสริมในการรักษา
[size=11pt]ป้องกันโรคข้อสะโพกได้อย่างไร[/size]
มี อยู่สิ่งหนึ่งที่นักวิจัยลงความเห็นร่วมกันนั่นคือ การเลือกหรือการพิจารณาการผสมพันธุ์ที่ดี ยังมีอีกหลายข้อมูลที่ยังรอ การศึกษาในอนาคต แต่ในขณะนี้เราต้องยึดกับสิ่งที่เรารู้และมั่นใจ นั่น คือการ เลือกพ่อแม่พันธุ์ ที่มีข้อสะโพกที่ดีในการผสมพันธุ์ ถึงแม้จะ ไม่สามารถรับประกันได้ 100% แต่ก็ลดความเสี่ยงลงไปได้มาก
รวมถึง ผู้ที่กำลังเลือกซื้อลูกสุนัขต้องมีการพิจารณาถึงพ่อแม่พันธุ์ด้วย
**อ้างอิงข้อมูลจาก Pet education.com
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก http://www.thaigsdclub.org/gsdboard/index.php?topic=1224.0 |