ว่ากันว่าเนื้อสุนัขเป็นยาชูกำลัง มีโปรตีนสูง กินแล้วจะทำให้ร่างกายอบอุ่นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก แถม (หลายคนยืนยันว่า) เนื้อมีรสชาติอร่อย...อร่อยจนบางคนเรียกว่าเนื้อสวรรค์...เลยทีเดียวเชียว
นี่เป็นความเชื่อของคนจำนวนไม่น้อยในแถบประเทศเวียดนาม จีน ลาว กัมพูชา และประเทศไทยบางส่วน โดยเฉพาะแถบจังหวัดทางภาคอีสาน เช่น สกลนคร นครพนม เป็นต้น
แต่ถ้าพูดเรื่องนี้ในกลุ่มคนรักสุนัขก็คงมีแต่คนร้อง ยี้! และต้องส่ายหน้ากันเป็นแถว เพราะโดยปกติแล้ว สุนัขหรือน้องหมาที่เราๆ เลี้ยงไว้นั้นทำหน้าที่เป็นเพื่อนแก้เหงา เฝ้าบ้าน จับโจร เก็บระเบิดเสียมากกว่า จนเกือบจะเรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวเลยทีเดียว
ดังนั้น เมื่อได้เห็นภาพสุนัขนับร้อยนับพันตัวแออัดกันอยู่ในกรงท้ายรถกระบะ แล้วกำลังจะกลายเป็นอาหาร ก็คงจะดูเป็นเรื่องทรมานใจมากเกินไปนัก
จากความต่างของวัฒนธรรมการบริโภคที่เห็นได้ชัดเจน และการที่มีคนกลุ่มหนึ่งนิยมบริโภคเนื้อสุนัข จึงทำให้ธุรกิจค้าเนื้อสุนัขเริ่มขยายตัวมากขึ้น ซึ่งต้นทางหลักที่สำคัญ คือประเทศไทยนั่นเอง
โดยมีปลายทางเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีรสนิยมคล้ายคลึงกันอย่างเวียดนาม จีน ลาว และกัมพูชา เป็นลูกค้าสำคัญ
เมื่อความต้องการของตลาดมีมากขึ้น ก็เป็นเรื่องปกติของธุรกิจที่ต้องเพิ่มสินค้า จึงเป็นเรื่องเดือดร้อนของเหล่าสุนัขจรจัด หรือสุนัขที่หลงทางกลับบ้านอาจจะถูกมัจจุราชในคราบนักธุรกิจเหล่านี้ ฉุดจับขึ้นรถไปแปรรูปเป็นอาหารรสโอชะได้ในอนาคต
ส่วนสุนัขที่มีเจ้าของ ก็อย่าเพิ่งนึกว่าจะรอดตัวไป เพราะหากประพฤติตัวไม่ดี ก็มีสิทธิ์ที่จะพบชะตากรรมเดียวกับเพื่อนๆ จรจัดได้ เพราะบางทีเจ้าของอาจจะรู้สึกว่ามีกะละมังหรือเสื้อผ้า นั้นดูสบายใจกว่าหมานิสัยเสียเยอะเลย...
กรุงเทพฯ แหล่งค้าเนื้อสวรรค์
สวรรค์ แสงบัลลังค์ เลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย(TSPCA) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า กรุงเทพฯ ถือเป็นศูนย์กลางสุนัขจรจัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีราว 2-3 แสนตัว และปัจจุบันก็มีผู้ร้องเรียนเข้ามาที่สมาคมฯ ว่า สุนัขจรจัดเหล่านี้กำลังถูกพวกค้าสุนัขจับตัวขึ้นรถกระบะไปเพื่อขายให้กลุ่มผู้บริโภคสุนัขในต่างประเทศ
“พวกค้าสุนัขมันมีอยู่ โดยเฉพาะปัจจุบันเป็นการค้าเชิงพาณิชย์มากขึ้น การค้าสัตว์เหล่านี้เป็นธุรกิจที่ดึงดูดใจเพราะเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก ขับรถออกไป เอาถัง กะละมัง เสื้อผ้ามาแลก ก็สามารถได้สุนัขมาแล้วเอาไปขายในราคา 250-350 บาทต่อตัว อย่างที่สองจอดรถแล้วไล่จับ ซึ่งไม่ต้องลงทุนอะไรเลย”
ในประเทศเวียดนามการนำเข้าหรือการบริโภคสุนัข ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นเนื้อสัตว์ธรรมดา ปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจใหญ่โต ผู้ที่ทำธุรกิจนี้ต้องมีอำนาจพอสมควร ซึ่งตำรวจจะไม่สามารถไปจับกุมได้โดยง่าย เนื่องจากไม่มีอำนาจทางกฎหมาย
“ในบ้านเรา จะไปจับปรับเขาก็ยาก เพราะสุนัขก็หมือนกับหมู ไก่ แต่จะมีห้ามในเรื่องการทารุณสัตว์ เราฆ่าหมูผิดไหม ไม่ผิด ถ้าทำไม่ถูกต้องไปชำแหละในที่ที่ห้ามจึงมีความผิด ฆ่าสุนัขก็ไม่ผิด แต่ทารุณสุนัขแล้วฆ่าก็ผิดมีโทษจำคุกและปรับเงิน
“เป็นเรื่องของมโนธรรมและวัฒนธรรมของไทย ที่ไม่นิยมกินเนื้อสุนัข ถ้าให้กินก็กินไม่ลง เพราะสุนัขเป็นสัตว์ที่อยู่ใกล้คนมาตลอด อยู่ใต้หลังคาบ้านเดียวกับคน เพราะฉะนั้นจะรู้สึกแปลกๆ ถ้าที่อื่นไม่คิดเหมือนเรา มันก็เป็นความต่างของวัฒนธรรม ซึ่งถ้าเราออกกฎหมายมา ก็ต้องดูว่าจะเป็นอย่างไร อาจจะเน้นการรณรงค์กฎหมายการทารุณสัตว์เองด้วย”
เลขาธิการสมาคมฯ บอกอีกว่า เนื้อสุนัขเป็นเนื้อสัตว์ที่มีคุณค่าทางอาหารสามารถรับประทานได้ แต่หากถามตัวเขาเอง เขาบอกว่า มันขัดกับคุณค่าทางจิตใจ และวัฒนธรรมของชุมชน และเมื่อถามว่ามีประโยชน์ไหมก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเนื้อมาพูด คนเวียดนามบอกว่ามีโปรตีนสูง เหมือนเนื้อสัตว์ทั่วไป แต่โดยส่วนตัวเขาไม่แนะนำให้กิน เพราะว่าสุนัขเป็นสัตว์มีคุณ ซึ่งควรแยกแยะ
สถานการณ์สุนัขจรจัดแห่ง กรุงเทพฯ
พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เล่าว่า ปัญหาสุนัขจรจัดซึ่งระบาดอยู่ในกรุงเทพฯ ขณะนี้มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นคนที่เลี้ยงสุนัขเอามาทิ้ง หรือการที่สุนัขไม่มีเจ้าของที่แน่ชัด ใครมีอาหารให้ก็ให้ ไม่มีให้ก็ไม่ให้ ประกอบลักษณะการสืบพันธุ์ของสุนัขที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว คือตกลูกปีละ 2 ครอก ครอกหนึ่งมีสิบกว่าตัว ทำให้ปริมาณของสุนัขเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ที่ผ่านมา กทม. ในฐานะผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามทำหมันสุนัขอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปริมาณประชากรสุนัขจรจัดให้น้อยลงที่สุด ไม่เพียงแค่นั้นยังมีการเอาชิปไปใส่ที่ตัวสุนัขเพื่อเป็นการระบุเจ้าของว่าเป็นใคร หากเกิดพลัดหลงหรือมีการทอดทิ้ง หรือสุนัขไปกัดผู้อื่นได้รับบาดเจ็บจะได้ตามตัวได้ถูก
“การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ก็คือการทำให้ถูกต้อง เพราะทุกวันนี้มีผู้รักสัตว์จำนวนมากที่ไม่ยอมให้เราเอาสัตว์ไปเก็บอย่างผิดวิธีอีกแล้ว คือเก็บไปรวมๆ กันแบบแออัด ดังนั้นพอเราตอนเสร็จ ติดสัญลักษณ์ ฉีดป้องกันโรคหมาบ้าแล้ว กทม. ก็จะเอากลับไปเลี้ยง หรือหาเจ้าของใหม่ให้เขาสามารถเดินอยู่บนสนามหญ้าเหมือนในเมืองนอกได้ และสุดท้ายพอเขาอยู่ไปสัก 5-6 ปี ก็จะตายไปเอง ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะหมดไปเอง
“นอกจากนี้ เรายังมีการปรับมาตรการต่างๆ ให้ดีขึ้น เช่นเป็นศูนย์ผู้เลี้ยงในพื้นที่ ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องของบของ กทม.แล้วก็มีพระราชบัญญัติการดูแลสุนัขจรจัด แต่เผอิญมีคนร้องเรียน เรื่องก็ยังอยู่ที่ศาลปกครอง ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องมีการคุยกัน ทั้งในหมู่ผู้รักสัตว์ นักวิชาการและพวกเราทั้งหมดอีกที เพื่อให้วิธีการทำงานให้ดีที่สุด”
แต่ทั้งนี้ สำหรับเรื่องการที่มีแก๊งล่าสุนัขเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น พญ.มาลินีกล่าวยอมรับว่า คงไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะหน้าที่ตรงนี้ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของ กทม. แต่เป็นความรับผิดชอบของตำรวจ เพราะ กทม.ไม่มีสิทธิ์ไปจับกุม หรือดำเนินคดีแก่บุคคลเหล่านี้ได้ ดังนั้นหน้าที่ที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือ การหาวิธีลดปัญหาเหล่านี้ให้น้อยลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ขัดต่อหลักศีลธรรมอันดี โดยคาดว่าปัญหานี้น่าจะหมดไปภายในระยะเวลา 10 ปี
ค้าเนื้อสุนัข! ธุรกิจพันล้าน
“ธุรกิจค้าและส่งออกสุนัข มีมานานหลายปีแล้ว ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลง ปัจจุบันนี้ มีกลุ่มผู้ค้าและส่งออกสุนัขที่ทำเป็นธุรกิจใหญ่ ประมาณ 4-5 ราย ทั้งนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดนครพนม อดีตส.ส. และอดีตรัฐมนตรีเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเงินที่ได้จากการส่งออกสุนัข ก็จะนำมาจ่ายให้แก่ข้าราชการที่คอร์รัปชัน คอยปิดหูปิดตา ไม่รู้ไม่เห็นกับการลักลอบขนส่ง แล้วก็นำเงินมาใช้ซื้อเสียง ในการหาเสียงแต่ละครั้ง สำหรับเส้นทางในการขนส่งลำเลียง ก็จะผ่านมาทาง จังหวัดสกลนคร ผ่านถนนท่าแร่-ศรีสงคราม แล้วก็มาทำการขนส่งลงเรือที่ ริมแม่น้ำโขง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม เพื่อส่งต่อไปยังเวียดนามและจีน”
ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ ส.ส.ระบบสัดส่วน จาก จังหวัดนครพนม พรรคภูมิใจไทย บอกเล่าถึงเส้นทางธุรกิจการค้าสุนัขที่กำลังเป็นประเด็นครึกโครมอยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งในฐานะคนนครพนม ทำให้ภาพที่เห็นและสิ่งที่ได้รับรู้มา สะท้อนวงจรธุรกิจดังกล่าวได้อย่างน่าสนใจ
“จะมีการลักลอบขนส่งทุกวัน วันละประมาณ 1 พันตัว โดยจะมีทั้งการลอบจับ และการกว้านซื้อมาจากชาวบ้าน มีการนำกะละมังไปแลก โดยจะแลกและรับซื้อมาจากหลายๆ หมู่บ้าน เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้เยอะมาก เนื่องจากประเทศเหล่านั้นเขานิยมกินเนื้อสุนัข เพราะเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ”
ภูมิพัฒน์ เล่าว่า ทุกๆ ค่ำคืน เส้นทางในอำเภอบ้านแพง ที่รถขนส่งเหล่านี้แล่นผ่านเพื่อไปทำการขนถ่ายสุนัขลงเรือนั้น ตลอดระยะทางที่รถแล่น ชาวบ้านก็จะได้ยินเสียงสุนัขร้องอย่างทรมาน สาเหตุก็เนื่องจาก
“รถเหล่านั้น บรรทุกสุนัขมาเต็มคันรถ เขาอัดให้มันเข้าไปอยู่ในกรงแคบๆ กว้างแค่ประมาณ 2 คืบ ใครได้เห็นก็รู้สึกว่ามันเป็นสภาพที่ทรมานมาก และตลอดเส้นทางก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนจับกุม เพราะเขาได้รับเงินมาเพื่อให้ปิดหูปิดตา”
ภูมิพัฒน์เชื่อว่า ธุรกิจดังกล่าวจะไม่มีวันหมดสิ้นหรือถูกทลายลงได้อย่างง่ายดาย เพราะเม็ดเงินที่สะพัดเป็นจำนวนมหาศาล
“ธุรกิจค้าสุนัขมีเงินสะพัดพันล้านบาทต่อปี เพราะได้กำไรมากกว่าเท่าตัว เขาซื้อมาจากชาวบ้านแค่ตัวละ 100 บาท แต่ขายได้ตัวละ 400 บาท และที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กับการส่งออกสุนัขก็คือ ผู้ค้าเหล่านี้ยังลักลอบส่งเนื้อเสืออีกด้วย เป็นเนื้อเสือหลายชนิด มีทั้งเสื้อโคร่ง เสือดาว ซึ่งถ้าเป็นเสือ เขาจะส่งเป็นเนื้อสดๆ แต่ถ้าเป็นสุนัข ก็จะส่งแบบตัวเป็น”
นอกจากกำไรแสนงามที่ล่อตาล่อใจแล้ว ความสะดวกของเส้นทางขนส่งก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจค้าสุนัขในบ้านแพงเป็นไปอย่างล่ำสัน
“ธุรกิจนี้ไม่มีวันหมดง่ายๆ หรอก เพราะอำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม เป็นจุดส่งออกสินค้าที่สะดวกที่สุด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่อยู่ใกล้จีนและเวียดนามที่สุด ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้เยอะมาก”
ครั้นถามว่า การส่งออกสุนัขล็อตใหญ่ที่ อำเภอบ้านแพง นั้น จะเชื่อมโยงกับการลักลอบจับสุนัขจรจัดในกรุงเทพฯ หรือไม่ ภูมิพัฒน์ เชื่อว่า
“เป็นไปได้ เพราะทุกวันนี้ หมู่บ้านต่างๆ รอบ อำเภอบ้านแพง และในจังหวัดใกล้เคียงก็หาซื้อสุนัขได้ยากมาก ถูกกว้านซื้อไปจนหมด ขณะที่กลุ่มผู้ค้าก็ต้องพยายามส่งออกให้ได้มากๆ ตามจำนวนที่เวียดนามและจีนต้องการ”
จึงทำให้เป้าหมายของพวกค้าสุนัขกระจายอยู่ตามทุกมุมเมืองของประเทศไทย
เส้นทางชีวิตสุนัขพเนจร
อีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้พวกค้าเนื้อสุนัขมองเห็นกำไร ก็คือการไล่จับสุนัขจรจัดตามที่สาธารณะ เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนอกจากแรง จึงทำให้สุนัขจรจัดที่มีอยู่เกลื่อนตามกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีโอกาสเสี่ยงที่จะกลายเป็นสินค้าส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
คนบันเทิงที่หันไปทำงานช่วยเหลือสุนัขจรจัดกับสมาคมพิทักษ์สัตว์ (ไทย) อย่าง นาตาชา คอฟแมน บอกว่าเธอและสมาคมฯ พยายามเรียกร้องให้ประเทศไทยมี พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ เหมือนประเทศอื่น ซึ่งมีบทลงโทษครอบคลุมทั้งการทำร้ายสุนัข การฆ่า และการทารุณกรรมสัตว์ ตลอดจนการบังคับให้คนเลี้ยงสุนัขต้องจดทะเบียนสุนัข ป้องกันการนำสุนัขไปทิ้งขว้าง
“สิ่งสำคัญประการแรกก่อนจะเลี้ยงสุนัขคือ ต้องมีความพร้อม ศึกษาข้อมูล ต้องแน่ใจว่าสามารถดูแลสุนัขจนแก่เฒ่า สุนัขที่ถูกทิ้งพันธุ์ดีๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ จะทิ้งก็อ้างเหตุผลมากมาย ไม่สมควรที่จะอ้างเหตุผลเช่นนั้น มันเหมือนคุณอ้างเหตุผลว่าเลี้ยงพ่อแม่หรือเลี้ยงลูกไม่ไหว ปล่อยสุนัขไปคิดไหมว่าใครจะมาดูแล สุนัขก็จะหิว เจ็บป่วย หรืออาจเกิดอุบัติเหตุได้ ปัญหาสุนัขจรจัดที่ลุกลามใหญ่โตในกรุงเทพฯ อย่าไปโทษหน่วยงานที่ดูแลเลยค่ะ หันมาดูต้นตอปัญหาดีกว่า ว่าแท้จริงแล้วเกิดจากใคร ถ้าไม่ใช่มนุษย์”
……….
เนื้อหมาจรจัด ส่งออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
สุนัขที่เป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้บริโภคสุนัขมากที่สุด คือ สุนัขพันธุ์ไทย ลาว เวียดนาม เพราะเนื้อนิ่ม แน่น อร่อย
สุนัขที่พันธุ์ฝรั่งกลุ่มผู้บริโภคสุนัขไม่นิยม เพราะเนื้อไม่อร่อย ไม่นิ่ม
สุนัขสีขาวกลุ่มผู้บริโภคสุนัขนิยมมากที่สุดรองลงมาคือสีน้ำตาล เพราะเนื้อหอม หวาน อร่อย
สุนัขจะถูกนำไปชำแหละเนื้อ กลุ่มผู้บริโภคสุนัข นิยมกินเนื้อและเครื่องใน ประกอบอาหารพื้นเมืองทุกประเภท เช่น ต้มยำ ย่าง หรือแปรรูปเป็นลูกชิ้น เนื้อสุนัขแดดเดียว ฯลฯ
บ๊อกบ๊อกผวา!!!
อยากร่วมสร้างชีวิตใหม่ให้กับสุนัขจรจัดกับ องค์กรเพื่อนสุนัขและแมวจรจัด (SCAD) โทร. 0-2713-3354 หรือติดต่อ สมาคมพิทักษ์สัตว์ (ไทย) โทร. 0-2373-2886
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลจาก :
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000023270