ไปไหว้พระ 9 วัดที่อยุธยาในวันปีใหม่

ปีที่ผ่านมา  เกิดเรื่องราวมากมายทั้งในบ้านในเมืองตลอดจนชีวิตส่วนตัว

ปีใหม่นี้  เลยถือโอกาสไปไหว้พระ 9 วัดที่อยุธยาให้เป็นศิริมงคลต่อตนเองและครอบครัว

ก่อนเข้าเมืองอยุธยา  ก็แวะไปคารวะท่านธนะนันทร์แห่งบ้านโชกุนสักหน่อย

เห็นฮ่องเต้วิ่งเล่นอยู่กับพี่เลี้ยงคนใหม่ที่ลานหน้าบ้าน   คุณเพื่อนบางแก้วดูจะยังไม่ตื่น   สงสัยเมื่อคืนเคาน์ดาวน์ดึกไปหน่อย  ก็เลยบอกพี่เลี้ยงว่า  ไม่ต้องไปปลุก  ไม่มีธุระอะไรพิเศษ   แค่แวะมาเยี่ยมและขอคำแนะนำเกี่ยวกับวัดที่จะไปไหว้

เบอร์มือถือของท่านในเว็บรู้สึกว่าคงมีคนโทรมาเยอะ  เลยปิดบริการไปแล้ว

ใครต้องการติดต่อ  ลองใช้เบอร์ในรูปข้างล่างนี้ได้เลย

ได้ลองสืบค้นในอินเทอร์เน็ตแล้ว   เห็นที่น่าสนใจ  ก็คงเป็นโปรแกรมของ http://travel.sanook.com/trip/trip_08423.php   ก็เเลยพริ้นต์ออกมาใช้เป็นโพยในการค้นหาวัดเอง

วัดแรกนี้หาง่ายหน่อย   อยู่ก่อนเข้าเมือง  มีป้ายบอกไว้  ชื่อวัดใหญ่ชัยมงคล

เดินเที่ยวไปหลังวัด   จะพบสวนหย่อมที่เต็มไปด้วยรูปปั้นไก่ชนเป็นร้อยตัว

ลองทายกันดูว่า ทำไมต้องเป็นรูปปั้นไก่ชน

เห็นแบบนี้แล้ว  อยากให้มีรูปปั้นบางแก้วบ้าง

ถัดจากวัดใหญ่ชัยมงคลไปหน่อย  ก็จะเป็นวัดพนัญเชิงวรวิหาร  ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ซึ่งครองเมืองอโยธยาเป็นผู้สร้างขึ้นตรงที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนามวัดว่า “วัดพระเจ้าพระนางเชิง” หรือ "วัดพระนางเชิง" 

วัดนี้มีชื่อเสียงในหมู่คนจีน   สงสัยว่า จะเรียกเพี้ยนเป็น พนัญเชิง หรือเปล่า   เหมือนกับตำนานของหนองวัวลำพอง ที่ถูกเรียกเพี้ยนเป็นหัวลำโพง

วัดต่อไป  จะต้องเข้าเมือง   ไปไม่ถูก   เลยแวะถามตำรวจหน้าวัด   ต้องขอบคุณตำรวจอยุธยาที่มาบริการประชาชนได้ดีเยี่ยม    ขับวนมาเข้าเส้นทางหลักที่วิ่งผ่าเมือง  จะเห็นป้ายให้เลี้ยวซ้ายไปวัดหน้าพระเมรุ  แต่โชคดี ระหว่างทางเจอวัดธรรมิกราชเสียก่อน  เลยได้แวะเข้าไป  วัดส่วนใหญ่ในอยุธยาจะโดนพม่าเผาเกือบหมด เมื่อครั้งเสียกรุง

ที่น่าสนใจคือมีรูปหลวงพ่อกับหมาบางแก้วติดอยู่ที่ผนังในอุโบสถ

วัดหน้าพระเมรุ เป็นวัดเดียวใน กรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าทำลาย และยังคงสภาพที่ดีมาก เพราะพม่าได้ไปตั้งกองบัญชาการอยู่ ที่วัดนี้

ที่น่าสนใจคือ  ตู้รับบริจาคของวัดนี้ทุกใบทำจากเซฟอย่างดี  เจาะเป็นช่องด้านบนให้คนหยอดเงินทำบุญ    แบบนี้ คงไม่มีขโมยคนไหนขนไปได้   หรือขโมยไปก็อาจไม่คุ้มค่าเหนื่อย

น่าเห็นใจวัดเล็กๆที่อาจไม่ค่อยมีคนสนใจ    บางวัดก็พยายามประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้คนรู้จัก    อย่างวัดกษัตราธิราชวรวิหาร ลงทุนทำป้ายติดตามต้นไม้บอกทางไปตลอด    ก็ขับตามป้ายนี้มา  อยู่ดีๆ  แต่หลงตามรถเข้าไปที่วิหารพระมงคลบพิตร

เห็นรูปนี้ในวิหารแล้ว  อดถ่ายไว้ไม่ได้    เป็นรูปที่กรมพระยาดำรงฯพาแขกเมืองขี่ช้างไปชมวิหารพระมงคลบพิตร ซึ่งถูกไฟไหม้ทรุดโทรม

ทำให้นึกถึงข้อความเตือนใจทีติดอยู่ที่ผนังวัดพระธาตุพนม สมัยที่ยังเรียนอยู่มุกดาหาร  ข้อความเตือนใจนั้นคือ ได้ขี่ช้างกั้งฮ่มเป็นพญา   อย่าสิลืมชาวประชาผู้ขี่ควายคอนกล้า

โชคดีที่วัดที่อยู่ติดกันคือ  วัดพระศรีสรรเพชญ์  ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง เป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา 

แต่มีบางแก้วพเนจรดังซามูไรไร้สังกัดอยู่ 1 ตัว   ใครมีโอกาสไป  ก็ไปเยี่ยมมันด้วยนะครับ

ออกจากวัด  ก็ขับรถตามป้ายบอกทางของวัดกษัตราธิราชวรวิหาร ต่อ  แต่พอข้ามแม่น้ำ  ก็หลงทางไปวัดไชยวัฒนาราม อีก  เพราะลืมมองไปว่าวัดกษัตรฯอยู่ทางขวาของเชิงสะพาน  มัวแต่มองทางซ้าย

แต่ก็ไม่ผิดหวัง วัดไชยวัฒนาราม  ก็เป็นโบราณสถานที่อยู่ในโพย

แถมขับรถเลยไปอีกหน่อย  ก็ถึงวัดพุทไธสวรรย์ อยู่ริมแม่น้ำด้านใต้ ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง

วัดนี้ก็มีรูปปั้นไก่ชนมากเหมือนกัน

ย้อนกลับมาที่ วัดกษัตราธิราชวรวิหาร   ต้องชมว่าวัดนี้เขาดูแลผู้มาไหว้พระได้ค่อนข้างดี   จัดที่ทางไว้สะดวก สะอาด และสบาย  ดอกไม้แทนที่จะเป็นดอกบัว เหมือนวัดทั่วไป  ที่นี่จะใช้ดอกเบญจมาส

แม้ว่าจะมีพระปรางค์  อุโบสถ วิหาร ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากวัดอื่นๆ

แต่ก็ต้องชมว่า วัดกษัตราธิราชวรวิหาร เขามีข้อดีที่ควรแก่การชื่นชม  น่าจะใช้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับวัดอื่นๆ

หลังวัดมีเส้นทางลัดไปออกถนนสายหลักที่ไปยังบางประอิน-ปทุมธานี   ก็เลยไม่ต้องย้อนเข้าเมืองอีก  นับว่าใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าในการตะเวนไหว้พระไป 9 วัด    บุญกุศลใดๆที่อาจจะได้รับอานิสสงค์มาบ้าง  ก็ขอแบ่งปันให้เพื่อนสมาชิกทุกคนได้รับส่วนบุญด้วย  ขอให้มีความสุขความเจริญตลอดปี 2550 เทอญ

แต่ที่รู้สึกผิดหวังนั้น  มีประการเดียว คือ หาร้านก๊วยเตี๋ยวเรือที่คุณเพื่อนฯเคยพามาเลี้ยงไม่เจอ  เลยไปกินที่ร้านในบริเวณวิหารพระมงคลบพิตร  โคตรจะไม่อร่อยเลย